
ปัญหา “ฝ้า” บนใบหน้า
“ ฝ้า ” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในวัยทำงานและวัยกลางคน โดยปัญหาฝ้าที่ปรากฏบนใบหน้าไม่เพียงส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นฝ้าอีกด้วย
แม้ว่าฝ้าจะไม่ใช่โรคที่อันตราย แต่การรักษาต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจที่ถูกต้องครับ ใครที่กำลังประสบปัญหาฝ้า หมอมีข้อเกี่ยวกับฝ้าแบบเจาะลึก ตั้งแต่สาเหตุ ประเภท ไปจนถึงวิธีรักษาและป้องกัน เพื่อตัดจบปัญหาฝ้า ไม่ให้กลับมากวนใจอีกครับ
คลิกอ่านหัวข้อฝ้าบนใบหน้า
ฝ้า คืออะไร ?
“ ฝ้า ” หรือในทางการแพทย์เรียกว่า ” Melasma ” เป็นภาวะที่ผิวหนังมีสีคล้ำเป็นแผ่นหรือเป็นจุดสีน้ำตาล เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) มากเกินไปในชั้นผิวหนัง
ลักษณะของฝ้ามักเป็นแผ่นสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้ม มีขอบเขตไม่ชัดเจน และมักเกิดเป็นแผ่นสมมาตรทั้งสองข้างของใบหน้า
ฝ้าแตกต่างจากจุดด่างดำหรือรอยสิวทั่วไปครับ เพราะมีลักษณะเฉพาะคือเป็นแผ่นกว้าง กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และมักเกิดบริเวณที่ได้รับแสงแดด

ฝ้าเกิดจากสาเหตุใด ? รู้ปัจจัยการเกิดฝ้า
สาเหตุของฝ้ามีหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
ปัจจัยหลักการเกิดฝ้า
- แสงแดดและรังสี UV : เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าและทำให้ฝ้าเดิมคล้ำขึ้น
- ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน เช่น ฝ้าเกิดหน้าขณะตั้งครรภ์ การทานยาคุมกำเนิด หรือการบำบัดทดแทนฮอร์โมน
- พันธุกรรม : คนเอเชีย ละตินอเมริกา หรือชาวเมดิเตอร์เรเนียน จะมีโอกาสเกิดฝ้าสูงกว่าคนทั่วไป
ปัจจัยเสริมการเกิดฝ้า
- ความเครียดเรื้อรัง
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน
- การอักเสบของผิวหนัง
ลักษณะฝ้าที่เกิดขึ้น มีแบบไหนบ้าง ?
ฝ้ามีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ ดังนี้
- สีน้ำตาล ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อน สีครีม ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มหรือสีเทา
- เป็นแผ่นกว้าง ไม่ใช่จุดเล็ก ๆ แยกกัน
- ขอบไม่ชัดเจน แผ่นฝ้ามักมีขอบที่ค่อย ๆ จางลงไปกับผิวปกติ
- กระจาย มักเกิดทั้งสองข้างของใบหน้า
- ไม่มีอาการคัน เจ็บ หรือลอก ฝ้าไม่ทำให้ผิวเปลี่ยนแปลงเนื้อสัมผัส แค่เปลี่ยนสี
- คล้ำขึ้นเมื่อโดนแสงแดด อาการจะแย่ลงในช่วงฤดูร้อนหรือหลังตากแดด
ฝ้า แบ่งออกเป็นกี่ชนิด ?
ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามชั้นของผิวหนังที่มีการสะสมของเม็ดสี

ฝ้าลึก หรือ ฝ้าชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermal Melasma)
- เม็ดสีสะสมในชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermis)
- สีน้ำตาลชัดเจน
- ตอบสนองการรักษาได้ดีที่สุด
- สามารถใช้ Black light จาก Wood’s lamp (อุปกรณ์วินิจฉัยโรคผิวหนัง) ส่องเห็นความแตกต่างชัดเจน
ฝ้าตื้นหรือ ฝ้าชั้นผิวหนังชั้นใน (Dermal Melasma)
- เม็ดสีสะสมลึกลงไปในชั้น Dermis
- สีน้ำตาลอมเทา หรือสีน้ำตาลเข้ม
- รักษายากกว่า เพราะเม็ดสีอยู่ลึก
- ส่องด้วย Wood’s lamp แล้วสีไม่เปลี่ยน
ฝ้าผสม (Mixed Melasma)
- เม็ดสีสะสมทั้งชั้นนอกและชั้นใน
- สีเทาอมฟ้า พบบ่อยที่สุด ประมาณ 60-70% ของผู้เป็นฝ้า
บริเวณที่มักเกิดฝ้าได้บ่อย
ฝ้า กระ มักเกิดบริเวณที่ได้รับแสงแดดมากที่สุด โดยเฉพาะบนใบหน้า
บริเวณที่พบบ่อย

- แก้ม/โหนกแก้ม : บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง (พบบ่อยที่สุด)
- หน้าผาก : บริเวณกลางหน้าผากแผ่กว้าง
- จมูก : สันจมูกและปีกจมูก
- ริมฝีปากบน : บริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปาก
- ขมับ : ด้านข้างของหน้าผาก
รูปแบบการกระจาย
- Centrofacial Pattern (พบมากที่สุด) : กระจายบริเวณกลางหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้ม และริมฝีปากบน
- Malar pattern : เฉพาะบริเวณโหนกแก้มและจมูก
- Mandibular Pattern (พบน้อย) : บริเวณขากรรไกร
วิธีรักษาการเกิดฝ้าที่มีประสิทธิภาพ
หน้าเป็นฝ้าใช้อะไรดี การรักษาฝ้าทำวิธีไหนบ้าง ? ปัจจุบันวิธีรักษาฝ้าทำได้หลายวิธีครับ แต่ต้องใช้เวลาและทำอย่างสม่ำเสมอ โดยมีหลายวิธีที่สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น
รักษาฝ้าด้วยยาทาภายนอก : ครีมและเซรั่มลดฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยยาทาภายนอก ครีม และเซรั่ม ลดฝ้า เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และสะดวก สามารถทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมหลัก
เช่น สารสกัดจากพืชอย่าง ไทอามิดอล (Thiamidol) ที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำ เพิ่มความชุ่มชื่น เสริมเกราะป้องกันให้ผิว, วิตามินซี (Vitamin C), กรดผลไม้ (AHA) และ อาร์บูติน (Arbutin) เป็นต้น
เมราลิส เซรั่ม
Dr. V Square Melaris Serum

เซรั่มลดเลือนรอยกระ ฝ้า Dr. V Square Melaris Serum ใช้เทคโนโลยี Niosomal ที่มีส่วนช่วยนำส่งสารสกัดให้รวมตัวกันเข้าผิวขนาดนาโนเมตร จึงซึมลึกได้มากกว่าปกติ 332% ปราศจากสาร Hydroquinone และ Steroid จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
หลังใช้ผิวจะดูสว่างขึ้น เนื่องจากมีส่วนผสมสำคัญอย่าง Tranexamic Acid, Arbutin, Niacinamide, Glutathione, Ascorbic, Botanical, Whitening Cocktails ที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ลดเลือนรอยฝ้า กระ ให้จางลงตั้งแต่ขวดแรกที่ใช้ เริ่มเห็นผลผิวใสขึ้นใน 7-14 วัน มาพร้อมสารสกัดจากส้ม Mandarin ญี่ปุ่น ที่ทำให้เซลล์ผิวเรียบเนียน แข็งแรง
วิธีการคือต้องทาผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอร่วมกับการทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำและรอยดำคล้ำ
ซอฟต์ คลีนซิ่ง มูส
Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

ครีมกันแดดทาหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 PA+++ เป็น Hybrid Sunscreen ปกป้องผิวจากรังสี UVB-UVA2-UVA1-Visible Light Infrared และ Blue Light อย่างครอบคลุมด้วย 3 กระบวนการ (Reflection, Scattering, Absorption) อ่อนโยน เหมาะกับทุกสภาพผิว เนื้อครีมบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวหรือทิ้งคราบขาว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปกป้องผิวยาวนานตลอดวัน
อ่านนบทความเพิ่มเติม : วิธีทากันแดดที่ถูกต้อง สำหรับผิวหน้า
เลเซอร์รักษาฝ้า
เลเซอร์เป็นทางเลือกสำหรับฝ้าที่ดื้อต่อการรักษาด้วยครีม หรือต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เนื่องจาก การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เป็นจัดการเม็ดสีได้ตรงจุด ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรเลือกเทคโนโลยีเลเซอร์ที่เหมาะสมกับชนิดของฝ้า และทำอย่างต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง ขึ้นอยู่ความเข้มของฝ้าแต่ละบุคคล
ตัวอย่างประเภทเลเซอร์รักษาฝ้า
- Picosecond Laser (Pico Laser) ช่วยจัดการฝ้าได้ตรงจุด ลดเม็ดสีได้เร็ว ให้ผลลัพธ์ดี เช่น PicoSure Pro, PicoPlus
- Dual Yellow Laser ช่วยลดเม็ดสี รอยแดงรอยดำ
- Q-Switch Laser ช่วยลดเม็ดสี เหมาะสำหรับฝ้าชั้นนอก
ข้อควรระวัง : การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์ เพราะถ้าเลือกใช้เลเซอร์ไม่เหมาะกับลักษณะฝ้า อาจทำให้ฝ้าคล้ำขึ้นได้ รวมถึงการดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ก็สำคัญ โดยควรทาครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือบำรุงสูตรอ่อนโยนที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบและเสริมความแข็งแรงให้ผิวร่วมด้วย
ไฮยา บูสท์ ครีม
Dr. V Square Hya-Boost Cream

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ผลิตจากพืช สูตรอ่อนโยน Dr. V Square Hya-Boost Cream ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ช่วยลดการเกิดกระแดด ผิวหมองคล้ำ ฝ้าแดด และช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนานต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง
พร้อมป้องกันอาการอักเสบของผิวหนังจากโรคภูมิแพ้ได้ถึง 76.5% ประกอบไปด้วยสารสกัดพืช 7 ชนิด สูตรเฉพาะจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ช่วยลดอาการอักเสบและระคายเคืองในระดับเซลล์ผิว
ฉีดเมโสลดฝ้า (Mesotherapy)
การฉีดเมโสลดฝ้า หรือ Meso Melasma คือ การฉีดวิตามิน สารอาหารที่จำเป็นต่อผิวเข้าไปโดยตรงในชั้นผิว เพื่อช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน สูตรเมโสรักษาฝ้าที่นิยม เช่น Neoclear, Tensonez, Neo Glutanex และ Alpha Arbutin หลังฉีดตัวยาจะเข้าไปควบคุมการทำงานของเซลล์เม็ดสี ทำให้รอยฝ้า กระ แลดูจางลง และฟื้นบำรุงผิวหน้า แก้ปัญหาหน้าโทรม หน้าหมองคล้ำ ให้กลับมากระจ่างใสขึ้นได้ครับ

การรับประทานยาลดเม็ดสี ลดฝ้า
การรับประทานยาลดเม็ดสีหรือลดฝ้าเป็นอีกวิธีที่ใช้กันทั่วไปครับ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เช่น กรดทรานซามิก (Tranexamic Acid) ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยตรง ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เนื่องจากเป็นยาที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด
ทั้งนี้การรักษาด้วยยากรดทรานซามิกต้องมีการประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วยอย่างละเอียดก่อนเริ่มใช้ยาครับ
ข้อควรรู้ : การรักษาฝ้าต้องอาศัยความอดทนเป็นกุญแจสำคัญ เพราะฝ้าไม่ได้จางในข้ามคืน ผลลัพธ์ยังแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นกับประเภทฝ้า ความรุนแรง และการดูแล ที่สำคัญการรักษาต้องสม่ำเสมอ การหยุดกลางคันจะทำให้ผลการรักษาสูญเปล่าได้ครับ
วิธีป้องกันการเกิดฝ้าและดูแลผิวที่เกิดฝ้า
การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการกับฝ้า โดยเริ่มจาก
1.ดูแลผิวหน้าอย่างอ่อนโยน
การทำความสะอาดผิว และดูแลผิวอย่างเป็นระบบ(Skin Cycling) ก็สามารถช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกินที่อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ครับ
ซอฟต์ คลีนซิ่ง มูส
Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

Dr. V Square Soft Cleansing Mousse คลีนซิ่งที่มีส่วนผสมลดเลือนฝ้า เช่น วิตามินซี ไนอาซินาไมด์ หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานิน รวมทั้งมีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ความเข้มข้นต่ำ ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้น และช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น
2.หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดด
ควรหลีกเลี่ยงออกแดดช่วง 10.00-16.00 น.พยายามอยู่ในที่ร่มหรือที่มีเงา หากต้องออกแดดควรใช้ร่ม หมวก แว่นกันแดด ที่สำคัญอยาลืมทาครีมกันแดดโดยทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะถ้าอยู่กลางแจ้ง
3.จัดการความเครียด
ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพยายามฝึกการจัดการอารมณ์ เพราะความเครียดที่สะสมสามารถก่อให้เกิดฝ้าได้ผ่านการกระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติและผลิตเมลานินมากขึ้น
4.ดูแลสุขภาพผิวจากภายในป้องกันฝ้า
การดูแลสุขภาพผิวจากภายในสามารถช่วยป้องกันและลดการเกิดฝ้าได้ เช่น
- ทานอาหารที่มีวิตามินซี อี และสารต้านอนุมูลอิสระ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นฮอร์โมน
- ดื่มน้ำเปล่าเพียงพอ

เช็ก! ใครบ้างที่มีแนวโน้มที่จะเกิดฝ้ามากที่สุด ?
กลุ่มเสี่ยงสูง
- ผู้หญิง – พบมากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า
- อายุ 20-50 ปี – โดยเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์
- ผิวสี (Skin type III-V) – คนเอเชีย ชาวละติน ชาวตะวันออกกลาง
- มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า – มีความเสี่ยงสูงถึง 50%
สถานการณ์ที่เพิ่มความเสี่ยง
- หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอด (50-70% จะเกิดฝ้า)
- ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนบำบัด
- คนที่ต้องอยู่กลางแจ้งหรือตากแดดบ่อย
- ผู้ที่มีโรคต่อมไทรอยด์
- ผู้ที่มีการอักเสบของผิวเรื้อรัง
ฝ้ารักษาให้หายขาดได้ไหม ?
หมอตอบแบบตรงไปตรงมา คือ ฝ้าสามารถควบคุมให้ลดลง จางลงได้มากครับ หากรักษาอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ แต่ยากที่จะหายขาด หรือหายถาวร เพราะในทุก ๆ วันเรายังต้องเผชิญกับแสงแดด หรือบางคนยังมีปัญหาเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ยังคงทำงานมากเกินปกติอยู่
แต่สิ่งสามารถทำได้คือการควบคุมให้จางลงจนแทบมองไม่เห็นด้วยตา ชะลอการกลับมาของฝ้าด้วยการป้องกันและบำรุงอย่างสม่ำเสมอ
FAQ : คำภามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเกิดฝ้า
เป็นฝ้าตอนตั้งครรภ์ ทาครีมลดฝ้าได้ไหม ทำวิธีไหนได้บ้าง ?
ในช่วงตั้งครรภ์สิ่งสำคัญคือความปลอดภัยของแม่และลูกครับ
สิ่งที่ไม่ควรใช้ขณะตั้งครรภ์
✗ ครีมลดฝ้า Hydroquinone อาจซึมผ่านผิวหนังได้มาก อันตรายต่อเด็กในครรภ์
✗ Retinoid (Tretinoin) เป็น Category X ห้ามใช้ขณะตั้งครรภ์เด็ดขาด
✗ เลเซอร์ ไม่แนะนำเพราะยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ
ทำได้ปลอดภัยขณะตั้งครรภ์
✓ ครีมกันแดด (สำคัญที่สุด)
✓ Azelaic Acid 15-20%
✓ Vitamin C
✓ การป้องกันแสงแดด
- ใช้ร่ม หมวก ผ้าคลุม
- หลีกเลี่ยงแดดจัด
คำแนะนำ
- “Pregnancy mask” หรือฝ้าขณะตั้งครรภ์มักจะจางลงเองหลังคลอด 3-6 เดือน
- อย่าเร่งรีบรักษาในระหว่างตั้งครรภ์
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ
- เมื่อคลอดและหยุดให้นมแล้ว จึงค่อยเริ่มรักษาอย่างจริงจังครับ
ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์บ่อย เสี่ยงเกิดฝ้าจริงไหม ?
แสงจากหน้าจอหรือแสงสีน้ำเงิน (Blue Light) จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือสามาร์โฟน มีผลจริงทำให้เกิดฝ้าได้ครับ แต่น้อยกว่าแสงแดดมาก
การใช้เครื่องสำอางมีผลต่อการเกิดฝ้าหรือไม่ ?
เครื่องสำอางไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของฝ้า แต่อาจมีผลทางอ้อม หากใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ผิวแพ้หรือระคายเคือง เมื่อผิวอักเสบ อาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากขึ้น
ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่ หลังจากรักษาจนจางลงแล้ว ?
ฝ้ามีโอกาสกลับมาได้ครับ ถ้าไม่ดูแลป้องกันอย่างเหมาะสม แม้รักษาจนหายแล้ว ยังต้องบำรุงและป้องกันต่อไปครับ
สรุป ฝ้าป้องกันและดูแลรักษาให้ดีขึ้นได้
แม้ “ฝ้า”จะเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย แต่หากทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ ประเภท และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง ก็สามารถการจัดการกับปัญหาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ทั้งนี้ การดูแลรักษาต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ไม่มีวิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคนครับ การผสมผสานระหว่างครีมทา การป้องกันแสงแดด รวมถึงการรักษาโดยแพทย์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด