UVA1 และ UVA2
รังสี UVA 1 และ UVA 2 เป็นชนิดของรังสี UVA ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย ฯลฯ
รังสี UVA 1 และ UVA 2 คืออะไร ? แตกต่างกันอย่างไร ? ในบทความนี้หมอสรุปข้อมูลมาให้แล้วครับ พร้อมแนะนำวิธีการปกป้องผิว เพื่อป้องกันรังสี UVA จากแสงแดด
คลิกอ่านหัวข้อ UVA1 และ UVA2
รังสี UVA 1 คืออะไร ?
รังสี UVA 1 คือ คลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีคลื่นความยาวประมาณ 340 – 400 นาโนเมตร
โดยมีคลื่นความยาวมากกว่ารังสี UVA 2 จึงส่งผลกระทบต่อผิว ทำร้ายผิวได้มากกว่า และเป็นรังสี UV ที่พบได้มากที่สุด
นอกจากจะทำให้ผิวมีริ้วรอยก่อนวัย มีสีผิวหมองคล้ำแล้ว รังสี UVA 1 สามารถทำร้ายผิวชั้นลึกได้ ถึงชั้นโครงสร้าง DNA หากผิวสัมผัสรังสี UVA 1 โดยไม่ปกป้องผิวอย่างดีพอ มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) ได้ครับ
รังสี UVA 2 คืออะไร ?
รังสี UVA 2 คือ คลื่นรังสี UVA ที่มีความยาวน้อยกว่ารังสี UVA 1 โดยคลื่นรังสีจะมีความยาวอยู่ที่ 320 – 340 นาโนเมตร
ซึ่งรังสี UVA 2 จะพบได้น้อยกว่ารังสี UVA 1 แต่ยังคงส่งผลต่อผิวได้เช่นกันครับ หากปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่ถูกวิธีเมื่อเผชิญแสงแดด ผิวที่ถูกรังสี UVA 2 ทำร้าย มักเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงยังมีอาการผิวแดงร่วมด้วยเหมือนกับการสัมผัสรังสี UVB จนเกิดอาการผิวไหม้แดดครับ
UVA1 และ UVA2 ส่งผลกระทบต่อผิวอย่างไร ?
โดยปกติแล้ว รังสี UVA 1 และ UVA 2 จะส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาผิวครับ หมอสรุปไว้ดังนี้
ปัญหาผิวที่เกิดจากรังสี UVA 1
- สีผิวหมองคล้ำ ไม่สม่ำเสมอ
- เกิดริ้วรอยก่อนวัยบริเวณต่าง ๆ เช่น ร่องแก้ม หน้าผาก คาง ฯลฯ
- มีโอกาสเกิดมะเร็งของเซลล์สร้างสี
- โครงสร้าง DNA ของผิวถูกทำลาย
- ทำร้ายผิวลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis)
ปัญหาผิวที่เกิดจากรังสี UVA 2
- มีอาการผิวแดง ผิวไหม้แดด (Sunburn)
- ฝ้าแดด
- กระแดด
- จุดด่างดำ
- เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
ความแตกต่างระหว่าง UVA1 และ UVA2
รังสี UVA 1 และ UVA 2 มีความแตกต่างดังนี้
ลักษณะความยาวคลื่น UV
คลื่นความยาวรังสี UVA 1 และ UVA 2 มีความแตกต่างกันดังนี้
- รังสี UVA 1 มีคลื่นความยาวสูงสุด คือ 40 – 400 นาโนเมตร
- รังสี UVA 2 มีคลื่นความยาวสั้นกว่า คือ 320 – 340 นาโนเมตร
พลังงานความแรงของรังสี
ด้วยความที่ความยาวคลื่นของรังสี UVA 1 และ UVA2 ต่างกัน จึงส่งผลทำให้พลังงานของรังสี แตกต่างกันด้วยครับ
- รังสี UVA 1 จะมีคลื่นพลังงานที่แรงกว่า จึงส่งผลกระทบต่อชั้นผิวหนังแท้ และทำร้ายโครงสร้าง DNA ผิวได้มากกว่า
- รังสี UVA 2 จะมีคลื่นพลังงานที่ต่ำกว่า และมีความใกล้เคียงกับรังสี UVB
ครีมกันแดดปกป้องผิวจากรังสี UVA 1 และ UVA 2
DR. V SQUARE UV ABC SUNSCREEN CREAM SPF40 PA+++
ครีมกันแดดปกป้องผิวหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดดได้คลื่นรังสีอย่างครอบคลุม ทั้งรังสี UVA 1, UVA 2, UVB, Blue light และ Infrared พร้อมปกป้องผิวจากการสะท้อน กระเจิง และดูดซับ ครบ 3 กระบวนการภายในเนื้อเดียว
สารกันแดดที่ทาง Dr. V Square เลือกใช้ เป็นกันแดดที่มีความคงตัวสูง นำเข้าจากประเทศเยอรมัน โดยเป็นกันแดดแบบ Hybrid Sunscreen เหมาะกับทุกสภาพผิว ปลอดสารอันตราย มาพร้อมสาร Soothing Cooling นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ช่วยลดอาการแสบผิว ระคายเคืองผิว หลังเผชิญแสงแดดจัด
ผลกระทบที่เกิดกับผิว
หากผิวสัมผัสแสง UVA 1 และ UVA 2 โดยที่ไม่มีการปกป้องผิวที่ดีพอ จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาได้ ดังนี้
- รังสี UVA 1 ทำลายโครงสร้าง DNA ผิว และทำร้ายผิวชั้นลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ จนส่งผลทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยบริเวณใบหน้า มีผิวหมองคล้ำ
- รังสี UVA 2 ทำให้เกิดอาการผิวแดง เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
โดยในระยะยาวรังสี UVA 1 และ UVA 2 ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ครับ
ความอันตรายของรังสียูวี
หากแบ่งระดับความรุนแรงของรังสี UV ทุกประเภท จากมากไปน้อย สามารถแบ่งได้ดังนี้
- รังสี UVA 1 มีความรุนแรงสูงสุด ทะลุผ่านวัตถุที่เป็นกระจกได้ ทำร้ายผิวชั้นลึกถึงชั้นผิวหนังแท้
- รังสี UVA 2 มีความรุนแรงรองลงมา ทะลุผ่านเสื้อผ้าเนื้อบางได้
- รังสี UVB มีความรุนแรงน้อยกว่ารังสี UVA ไม่สามารถทะลุผ่านวัตถุใด ๆ ได้ ทำร้ายผิวถึงชั้นผิวหนังกำพร้า
- รังสี UVC มีความรุนแรงต่ำสุด เพราะไม่สามารถผ่านชั้นโอโซนได้
ซึ่งต้นเหตุของการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ มักมาจากรังสี UVA 1, UVA 2 และ UVB เป็นหลักครับ เพราะอันตรายของคลื่นรังสีเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อผิวในระยะยาว และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนังได้
คลิกอ่านเพิ่มเติม : รังสี UVC คืออะไร ? มีคุณสมบัติอย่างไร ? อันตรายต่อผิวเหมือน UVA UVB ไหม ?
การปกป้องผิวจากรังสี UVA1 และ UVA2
วิธีปกป้องผิวจากรังสี UVA 1 และ UVA 2 ทำได้หลายวิธีดังนี้ครับ
- ทาครีมกันแดดค่า SPF 30 ขึ้นไป และ มีค่า PA 3+ ขึ้นไป ก่อนออกจากบ้านเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัด ช่วงเวลา 09.00 น. – 16.00 น.
- สวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เน้นใส่ชุดที่มีเนื้อผ้าหนา
- ใช้อุปกรณ์กันแดด เมื่อต้องออกแดด เช่น กางร่ม สวมหมวก ใส่เสื้อกันยูวี ฯลฯ
- เติมกันแดดระหว่างวัน เมื่อจำเป็นต้องเผชิญแสงแดดจัดช่วงกลางวัน
- ทาลิปมันปกป้องริมฝีปาก ที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15
UVA1 และ UVA2 ต่างจากรังสี UVB อย่างไร ?
รังสี UVA 1 และ UVA 2 จะส่งผลกระทบทำร้ายผิวรุนแรงกว่ารังสี UVB ครับ
โดยรังสี UVA ทุกประเภท สามารถทะลุผ่านวัตถุที่เป็นกระจก รวมถึงเสื้อผ้าเนื้อบาง ๆ แล้วทำร้ายผิวชั้นลึกถึงผิวหนังชั้นแท้ได้ ส่งผลทำให้โครงสร้าง DNA ผิวถูกทำลาย และเกิดปัญหาผิว เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย
แต่รังสี UVB ไม่สามารถทะลุผ่านวัตถุได้ ทำร้ายได้ลึกแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) จึงส่งผลทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดด ผิวแดง เมื่อเผชิญแสงแดดจัดครับ
คลิกอ่านเพิ่มเติม : รังสี UVA และ UVB คืออะไร ? แตกต่างกันอย่างไร ?
สรุปเรื่องรังสี UVA1 และ UVA2
รังสี UVA 1 และ UVA 2 เป็นรังสี UVA ที่รุนแรงกว่ารังสีชนิดอื่น ส่งผลทำให้เกิดปัญหาผิว ริ้วรอยก่อนวัย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ฯลฯ
การปกป้องผิวจากรังสี UVA จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามครับ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านเป็นประจำทุกวัน พร้อมทั้งทากันแดดซ้ำเมื่อต้องเผชิญแสงแดดจัด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA 1, UVA2 และ UVB ได้แล้วครับ