SPF คืออะไร ?
ค่า SPF มีหลายระดับด้วยกัน เช่น SPF 15, SPF 30, SPF 50 โดยค่า SPF จะเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของครีมกันแดด ว่าปกป้องผิวเราจากรังสี UVB ได้มาก-น้อยแค่ไหน
ในบทความนี้หมอจะสรุปแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าค่า SPF คืออะไร ป้องกันรังสีอะไรได้บ้าง ค่า SPF สำคัญอย่างไร ยิ่งมีค่า SPF สูง ยิ่งดีจริงหรือไม่ ? สามารถติดตามกันได้ผ่านบทความนี้ครับ
คลิกอ่านหัวข้อที่สนใจเกี่ยวกับค่า SPF
ค่า SPF ป้องกันรังสีอะไรได้บ้าง ?
Sun Protection Factor หรือ ค่า SPF คือ ค่าชี้วัดความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB เพราะแสงแดดที่เราต้องเผชิญทุกวัน จะมาพร้อมกับรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีส่วนทำร้ายผิวหนังจนเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาครับ เช่น หน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัยอันควร ผิวไม่แข็งแรง ผิวไหม้แดด รอยแดงบนใบหน้า ฯลฯ
โดยค่า SPF บนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด จะบอกเป็นจำนวนเท่า ของการปกป้องผิวจากแสงแดด และรังสียูวีบีครับ เช่น ครีมกันแดดค่า SPF 30 หมายถึง ครีมกันแดดยี่ห้อนี้จะช่วยปกป้องผิวเราจากรังสี UVB ได้มากกว่าผิวปกติที่ไม่ทากันแดด มากถึง 30 เท่า (ประมาณ 96.7%)
ความสำคัญของค่า SPF ในครีมกันแดด
ด้วยความที่รังสี UVB เป็นตัวทำลายผิวหนัง ให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวไหม้แดด มีริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น ฯลฯ ค่า SPF ในครีมกันแดด จะเป็นตัวชี้วัดความสามารถ ว่าครีมกันแดดยี่ห้อที่เราเลือกใช้ สามารถปกป้องผิวเราจากรังสี UVB ได้นานขึ้นกี่เท่าครับ
การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม จะช่วยปกป้องผิวเราจากแสงแดด ลดการเกิดปัญหาผิวที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ริ้วรอย การแสบร้อนที่ผิว หน้าหมองคล้ำ ฝ้า กระแดด ปัญหาสิว การเกิดสิวอักเสบ ฯลฯ ทำให้ผิวแข็งแรงเหมือนปกติ ไม่ไวต่อแสง รวมถึงลดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้ครับ
วิธีเลือกค่า SPF ครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ที่มีค่า SPF หลากหลาย ให้เราเลือกใช้งานครับ โดยค่า SPF ในครีมกันแดดที่พบเห็นบ่อย มีดังนี้
ค่า SPF 8
ค่า SPF 8 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 87.5% ถือว่าเป็นค่า SPF ที่มีค่าน้อย ไม่เพียงพอต่อการปกป้องผิวจากแสงแดดในระยะเวลาที่ยาวนาน ครีมกันแดดค่า SPF 8 จะเหมาะกับการทาปกป้องผิวในช่วงวันที่อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก แบบที่โดนแสงแดดเลยแม้แต่น้อย
ค่า SPF 15
ค่า SPF 15 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 93.3% นับว่าเป็นค่า SPF ที่น้อยเช่นกันครับ เหมาะกับการปกป้องผิวในวันเบา ๆ ที่ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน แบบที่ไม่โดนแสงแดด หากทาครีมกันแดดค่า SPF 15 แล้วออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านในระยะเวลานาน อาจส่งผลทำให้ผิวไหม้แดดเล็กน้อยได้ เพราะมีประสิทธิภาพการปกป้องไม่เพียงพอ
ค่า SPF 30
ค่า SPF 30 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 96.7% เป็นค่า SPF ระดับกลาง เหมาะกับการใช้ปกป้องผิวในชีวิตประจำวันทั่วไป แบบที่ไม่ต้องเผชิญแสงแดดจัดมาก เช่น การทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีร่มเงา รวมถึงเหมาะกับผู้ที่มีสีผิวขาวอมเหลือง แต่หากต้องทำกิจกรรมกลางแดดจัด ครีมกันแดดค่า SPF 30 ถือว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่ครับ
ค่า SPF 45
ค่า SPF 45 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 97.8% เป็นค่า SPF ระดับกลาง เหมาะกับผู้ที่มีผิวขาวอมชมพู เพราะมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือผิวไหม้แดด ได้ง่ายกว่าผู้มีสีผิวขาวอมเหลือง รวมถึงผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ในช่วงที่แดดไม่แรงจัด ก็สามารถใช้ครีมกันแดดค่า SPF 45 ได้เช่นกัน
ค่า SPF 50
ค่า SPF 50 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 98% ถือว่าเป็นค่า SPF ที่มีประสิทธิภาพการปกป้องสูง เหมาะกับการทาปกป้องผิว เพื่อทำกิจกรรมกลางแจ้ง กลางแดดจัด เช่น ไปทะเล เล่นกีฬา โดยในชีวิตประจำวันของเรา การเลือกทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ถือว่าเหมาะสมกว่าค่า SPF ระดับอื่นครับ เพราะสามารถปกป้องผิวเราจากแสงแดดได้ดีกว่า และยังเหมาะกับสภาพอากาศในประเทศไทย
ค่า SPF 100
ค่า SPF 100 สามารถดูดซึมรังสีได้ประมาณ 98.5% มีประสิทธิภาพการปกป้องสูงสุด เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง แดดจัด แต่ครีมกันแดดค่า SPF 100 ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ครับ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพการปกป้องสูง แต่ยิ่งค่า SPF สูงเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองตามมาได้
จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดค่า SPF สูง ๆ หรือไม่ ?
บางคนอาจจะคิดว่า ยิ่งค่า SPF สูง ก็ยิ่งดี เพราะจะปกป้องผิวได้มากกว่า ใช่ไหมล่ะครับ ?
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หมอแนะนำว่า เราควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงถึง 100 ในการใช้ชีวิตประจำวัน หากเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ถือว่าเพียงพอต่อการปกป้องผิวแล้วครับ โดยหมอขอสรุปสั้น ๆ แบบเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้ครับ
- อยู่ในบ้าน ไม่ได้ทำกิจกรรมข้างนอก : เลือกครีมกันแดดค่า SPF 30 ขึ้นไป
- ทำกิจกรรมนอกบ้าน : เลือกครีมกันแดดค่า SPF 50 ขึ้นไป
ใช้ครีมกันแดด ค่า SPF เท่าไหร่ ดีที่สุด ?
แม้ว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ จะมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิว ดีกว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF น้อย แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระคายเคืองผิวครับ ในการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา หมอแนะนำว่า ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป เพราะจะปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีกว่า และครอบคลุมกว่าครับ
วิธีทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ปกป้องผิว
- เลือกครีมกันแดดที่กันน้ำ กันเหงื่อ เมื่อต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เล่นกีฬา ไปทะเล ฯลฯ
- ทดสอบว่าแพ้ครีมกันแดด หรือมีการระคายเคืองหรือไม่ ? ก่อนที่จะทากันแดดจริง ๆ ประมาณ 1-2 วัน สามารถทดสอบได้ โดยการทาครีมกันแดดที่บริเวณผิวเนื้ออ่อน เช่น ข้อพับแขน บริเวณต้นแขน หลังใบหู หรือหลังมือ
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำก่อนออกนอกบ้าน อย่างน้อย 15 นาที
- ทากันแดดให้ปริมาณเพียงพอ ดังนี้
- บนหน้า ลำคอ : 2 นิ้ว หรือ 1 ช้อนชา
- บนขาทั้งสองข้าง : 6 นิ้ว หรือ 4 ช้อนชา
- บนแขนทั้งสองข้าง : 4 นิ้ว หรือ 2 ช้อนชา
- บนหลังและลำตัว : 4 นิ้ว หรือ 2 ช้อนชา
- ทากันแดดซ้ำระหว่างวันทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เมื่อต้องเผชิญแสงแดดจัดระหว่างวัน
คลิกอ่านเพิ่มเติม : วิธีทากันแดดที่ถูกต้อง สำหรับผิวหน้า – ผิวกาย ให้ผิวสวยห่างไกลจากแสงแดด
กันแดดหน้า SPF40 PA+++ ไม่ระคายเคืองผิว
DR. V SQUARE UV ABC SUNSCREEN CREAM
ครีมกันแดดผิวหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream กันแดดสูตร Hybrid ที่ผสมผสานสารกันแดดทรงคุณค่า และมีประสิทธิภาพสูง ตามมาตรฐานเยอรมัน มีส่วนช่วยปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม ทั้งรังสี UVA UVB แสงสีฟ้า (Blue light) และรังสีอินฟราเรด มาพร้อมกับค่า SPF40 PA+++ ที่พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างยาวนานตลอดวัน
เนื้อสัมผัสครีมกันแดด Dr. V Square มีความเกลี่ยง่าย แห้งซึมเข้าสู่ผิวไว หลังทาจะไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ไม่หนักผิวหน้า มาพร้อมส่วนผสมจากกลีเซอรีน (Glycerin) ที่มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว พร้อมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นหลังทากันแดด
SPF กันแดดได้นานไหม กี่ชั่วโมง ?
หมอขอยกตัวอย่างการคำนวณระยะเวลา ที่ค่า SPF ปกป้องผิวเราจากแสงแดด ดังนี้ครับ
เช่น เราอยากรู้ว่าครีมกันแดดค่า SPF 50 กันแดดได้กี่ชั่วโมง กันแดดได้นานไหม ?
วิธีคำนวณ คือ ให้ประเมินความทนทานผิว จากการที่เราอยู่กลางแดด เช่น หากอยู่กลางแดดเกิน 10 นาที แล้วมีอาการตัวแดง ผิวไหม้แดด ผิวหมองคล้ำ หรือรู้สึกระคายเคือง นั่นเท่ากับว่า ผิวเราทนทานต่อแสงแดดได้แค่ 10 นาที
เมื่อเราทาผิวด้วยครีมกันแดดค่า SPF 50 ความสามารถในการปกป้องผิวจากแสงแดด จะเท่ากับ ค่า SPF x ระยะเวลาทนทานต่อแสง (50 x 10) ความสามารถในการปกป้อง จะเท่ากับ 500 นาที หรือประมาณ 8.3 ชั่วโมง
ความแตกต่าง ค่า SPF กับ ค่า PA
ค่า SPF คือ ค่าชี้วัดประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสี UVB โดยจะระบุจำนวนเท่าที่สามารถปกป้องผิวได้ มากกว่าผิวที่ไม่ได้ทากันแดดเป็นตัวเลขหลังคำว่า SPF เช่น SPF15, SPF 30, SPF 50
ค่า PA คือ ค่าชี้วัดประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสี UVA ใช้สัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายบวก (+) บอกเป็นจำนวนเท่า มักต่อท้ายจากค่า SPF เสมอ เช่น
- PA + : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 2-4 เท่า
- PA ++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 4-8 เท่า
- PA +++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด 8-16 เท่า
- PA ++++ : ปกป้องผิวได้มากกว่าผิวที่ไม่ทากันแดด มากกว่า 16 เท่า
สรุปเรื่องค่า SPF
สุดท้ายนี้การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF เป็นแค่อีกหนึ่งวิธี ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ได้หมายความว่ากันแดดได้แบบ 100% แนวทางกันแดดที่หมอแนะนำเพิ่มอีกอย่าง คือ การสวมใส่อุปกรณ์กันแดด เช่น แว่นตา เสื้อคลุม กางร่ม ควบคู่ไปกับการทาครีมกันแดดซ้ำระหว่างวันทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ก็ยิ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีกว่าครับ