ค่า PPD ในครีมกันแดด คืออะไร ? จำเป็นแค่ไหนในการปกป้องผิวจากแสงแดด

ค่า PPD ในครีมกันแดด คืออะไร

ค่า PPD ในครีมกันแดด

ค่า PPD คืออะไร ? หลายคนอาจสงสัยว่า ค่า PPD ที่เรามักเห็นบนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดนั้นหมายถึงอะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อการปกป้องผิวจากรังสี UV

ในบทความนี้ หมอจะพาไปทำความเข้าใจว่า ค่า PPD ในครีมกันแดด คืออะไร ? ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอะไร ? ค่า PPD สูงนั้นดีจริงหรือไม่ ? และเราควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD เท่าไหร่ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน มาหาคำตอบได้ที่นี่ครับ

คลิกอ่านหัวข้อ ค่า PPD คืออะไร


ค่า PPD ในครีมกันแดด คืออะไร ?

ค่า PPD (Persistent Pigment Darkening) คือ ค่าที่ใช้ในการวัดความสามารถของครีมกันแดดในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่ส่งผลกระทบต่อผิวหนังในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ผิวคล้ำเสียหรือการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เรามักจะพบค่า PPD ในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยุโรป หรือผลิตเพื่อจำหน่ายในยุโรปครับ

การเลือกครีมกันแดด PPD สูง จะสามารถช่วยลดผลกระทบจากรังสี UVA ได้ครับ โดยค่า PPD จะระบุว่า ครีมกันแดดสามารถป้องกันอันตรายจากรังสี UVA ได้มากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับผิวที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ตัวอย่างเช่น ค่า PPD 10 หมายถึง ผิวสามารถทนทานต่อรังสี UVA ได้นานกว่าปกติ 10 เท่า ก่อนที่ผิวจะเริ่มไหม้แดด

สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญแสงแดดบ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แดดจัด หมอขอแนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD ในครีมกันแดดสูง เพื่อการปกป้องที่ครอบคลุม และป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวในระยะยาวครับ


ค่า PPD ปกป้องผิวจากรังสีอะไร ?

ค่า PPD ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถทะลุเข้าสู่ชั้นผิวลึก และทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ เช่น การทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง การทำให้ผิวคล้ำเสีย และการเกิดริ้วรอยในระยะยาวครับ ซึ่งแตกต่างจากรังสี UVB ที่ทำให้ผิวไหม้แดด มีอาการแสบร้อน หรือไหม้แดงทันทีเมื่อโดนแดด

ค่า PPD ปกป้องผิวจากรังสี UVA
รังสี UVA ทะลุผ่านกระจกมาทำลายผิวได้

รังสี UVA จะทำลายผิวอย่างต่อเนื่องแม้ในวันที่ฟ้าหม่นหรือมีเมฆมาก เพราะรังสีนี้สามารถทะลุผ่านกระจกและชั้นเมฆได้ ดังนั้น การเลือกครีมกันแดดที่มี ค่า PPD สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเผชิญแสงแดดเป็นประจำ


ค่า PPD มีกี่ระดับ ?

ระดับค่า PPD ในครีมกันแดด สำหรับปกป้องผิวจากรังสี UVA แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

ค่า PPD 2-4

ครีมกันแดดที่มีค่า PPD 2-4 จะเหมาะกับการใช้งานประจำวันในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดอ่อน หรือการใช้ชีวิตอยู่ภายในอาคารส่วนใหญ่

ค่า PPD ในระดับนี้จะช่วยป้องกันผิวจากการคล้ำเสียเล็กน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้เผชิญแสงแดดแรงเป็นเวลานานครับ

ค่า PPD 4-8

ค่า PPD ในช่วง 4-8 เหมาะสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้งบ้างเล็กน้อย เช่น เดินเล่น ทำงานนอกสถานที่เป็นครั้งคราว หรือผู้ที่ออกไปทำธุระในช่วงเวลาเช้าหรือบ่ายครับ ค่า PPD ในช่วงนี้จะให้การปกป้องที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป

ค่า PPD 8-16

หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นระยะเวลาไม่นาน เช่น ทำกิจกรรมที่ต้องเจอแดด หรือไปเที่ยว ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD ในระดับ 8-16 ครับ เพราะจะช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องที่เหมาะสม ลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากรังสี UVA ได้ดีขึ้น

ค่า PPD >16

ค่า PPD ที่มากกว่า 16 เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมที่ต้องเผชิญแสงแดดแรงเป็นเวลานาน เช่น เล่นกีฬา กลางแจ้ง ไปทะเล ปีนเขา หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องอยู่ท่ามกลางแดดจัดตลอดทั้งวันครับ

การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD สูงมากในระดับนี้ จะช่วยให้ผิวปลอดภัยจากการทำร้ายของรังสี UVA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD เท่าไหร่ ?

เลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD
หากต้องไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า PPD 10 ขึ้นไป

การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD เหมาะสมขึ้นอยู่กับกิจกรรม และลักษณะการใช้ชีวิตของแต่ละคนครับ

ถ้าทำงานภายในอาคารหรือต้องเผชิญแสงแดดน้อย ค่า PPD ในระดับ 4-8 อาจเพียงพอ แต่ถ้าต้องทำงานกลางแจ้งหรือทำกิจกรรมกลางแดดบ่อยครั้ง และแดดประเทศไทยถือว่าแรงเป็นอันดับต้น ๆ หมอแนะนำว่าควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี ค่า PPD 10 ขึ้นไป เพื่อให้ได้การปกป้องที่เพียงพอครับ

ครีมกันแดดทาหน้าป้องกันรังสี UVA
Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 PA+++

กันแดด DR. V SQUARE PPD 8-16

ครีมกันแดดทาหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 มีค่า PA+++ เทียบเท่าค่า PPD ระดับ 8-16 ปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB, UVC, Blue light และ Infrared ได้ครอบคลุมทุกคลื่นรังสี สารกันแดดมีความคงตัวสูง นำเข้าจากประเทศเยอรมัน สามารถกันแดดได้ 3 กระบวนการ ทั้งการสะท้อน การกระเจิง และการดูดซับ

ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด Dr. V Square เป็นสูตรอ่อนโยนที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิวครับ ไม่มีสารอันตราย ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน แม้มีผิวบอบบางแพ้ง่ายก็ใช้ได้ มาพร้อมสารสกัด Soothing Cooling นำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ช่วยลดอาการแสบผิวในขณะที่เผชิญแสงแดดจัด


ค่า PPD กับ ค่า PA แตกต่างกันอย่างไร ?

ทั้งค่า PPD และ ค่า PA (Protection Grade of UVA) ใช้วัดความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของมาตรฐานการวัดครับ

ซึ่งค่า PPD เป็นมาตรฐานที่ใช้ในยุโรปและอเมริกา โดยระบุเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงระดับการปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากกว่าปกติกี่เท่า

ในขณะที่ค่า PA เป็นระบบการวัดที่นิยมในเอเชีย โดยแสดงระดับการปกป้องด้วยสัญลักษณ์บวก (+) เช่น PA+ ถึง PA++++ ซึ่งยิ่งมีจำนวนเครื่องหมายบวกมากเท่าไร ก็หมายถึงการป้องกันที่มากขึ้นเท่านั้นครับ

เปรียบเทียบค่า PPD กับ ค่า PA

เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการป้องกันรังสี UVA ของ ค่า PPD กับ ค่า PA จะมีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้

เปรียบเทียบค่า PPD กับ ค่า PA
  • ค่า PPD 2-4 = ค่า PA+ มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น
  • ค่า PPD 4-8 = ค่า PA++ มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA ปานกลาง
  • ค่า PPD 8-16 = ค่า PA+++ มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA สูง
  • ค่า PPD >16 = ค่า PA++++ มีประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA สูงสุด

ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA แทนค่า PPD ได้หรือไม่ ?

หมอขออธิบายก่อนว่า จริงๆ แล้วสามารถใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA แทนค่า PPD ได้เลยครับ เพราะทั้งสองค่าเป็นมาตรฐานที่ใช้วัดประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVA

ซึ่งค่า PA และ ค่า PPD ต่างกันแค่รูปแบบของการแสดงผลเท่านั้น โดยค่า PA เป็นหน่วยวัดที่เราจะคุ้นหน้าคุ้นตาและพบเห็นได้บ่อยกว่า เพราะค่า PPD มักจะพบในผลิตภัณฑ์กันแดดฝั่งยุโรปครับ

หมอแนะนำว่า ไม่ว่าจะใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA หรือ ค่า PPD ก็ตาม สิ่งสำคัญคือควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าเหล่านี้ในระดับที่เหมาะสม ตามสภาพอากาศที่ต้องเผชิญ และกิจกรรมที่ต้องทำครับ รวมถึงควรพิจารณาร่วมกับค่า SPF เพื่อให้ได้การปกป้องที่ครอบคลุมจากทั้งรังสี UVA / UVB


แนวทางการเลือกซื้อครีมกันแดด ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?

การเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะสมกับการใช้งาน และมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดด ควรพิจารณาจาก

เลือกซื้อครีมกันแดดมีค่า PPD และ PA
ควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่สามารถป้องกันผิวได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
  • ค่า SPF : ค่า SPF ใช้ในการวัดประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ที่ทำให้ผิวไหม้แดง การเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและระยะเวลาที่ต้องสัมผัสแสงแดด ควรเลือก SPF 30 ขึ้นไป สำหรับการป้องกันที่มีประสิทธิภาพในแดดเมืองไทยครับ
  • ค่า PPD หรือ ค่า PA : ค่าเหล่านี้ใช้ในการป้องกันรังสี UVA ที่เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและผิวคล้ำเสีย ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD 10 ขึ้นไป หรือค่า PA+++ เพื่อการปกป้องที่ครอบคลุม โดยเฉพาะในวันที่ต้องเผชิญแดดจัดเป็นเวลานาน
  • ประเภทของครีมกันแดด : ครีมกันแดดมีทั้งประเภท Physical (สะท้อนรังสี) และ Chemical (ดูดซับรังสี) รวมถึง Hybrid (ทั้งสะท้อนและดูดซับรังสี UV) ควรเลือกประเภทครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวครับ
  • ความสามารถในการกันน้ำ : หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือต้องเผชิญน้ำและเหงื่อ ควรเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้ เช่น กันแดด Water Resistant เพื่อให้การปกป้องยังคงมีประสิทธิภาพตลอดการใช้งานครับ
  • สภาพผิว : ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวมันควรเลือกสูตรที่ไม่ทำให้หน้ามันเยิ้มเพิ่ม ผิวแห้งควรเลือกสูตรที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งเกินไปขณะใช้งาน ผิวแพ้ง่ายควรเลือกสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง

ครีมกันแดดที่มี PPD สูง ดีจริงไหม ?

ครีมกันแดดที่มีค่า PPD สูง อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ในบางคนครับ

หมอแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD สูงเสมอไป แต่ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PPD ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน ก็เพียงพอในการปกป้องผิวแล้วครับ

ทาครีมกันแดดที่มีค่า PPD สูง
ครีมกันแดดที่มีค่า PPD 2-4 เหมาะใช้ตอนไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดด

ตัวอย่างเช่น หากอยู่บ้านทั้งวันและไม่ได้เผชิญแสงแดด การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD 2-4 ก็เพียงพอต่อการปกป้องผิวแล้ว แต่หากต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ภายใต้แสงแดดจัดเป็นเวลานาน ครีมกันแดดที่มีค่า PPD สูงกว่า 10 จะช่วยปกป้องผิวได้ดีกว่าครับ


สรุปเรื่องค่า PPD ในครีมกันแดด

ค่า PPD ในครีมกันแดด เป็นปัจจัยสำคัญในการปกป้องผิวจากรังสี UVA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและผิวคล้ำเสีย การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PPD เหมาะสม จะช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ต้องเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน