ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ? เรื่องสำคัญที่คนรักผิวต้องรู้ เลือกใช้แบบไหน ปกป้องผิวได้ดีสุด

กันแดดมีกี่ประเภท

กันแดดมีกี่ประเภท ?

รู้ไหม ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ? หลายคนอาจไม่ทันสังเกตกันแดดที่ตัวเองใช้ว่าเป็นประเภทไหน บทความนี้หมอจะพาไปทำความรู้จักกับประเภทของกันแดด เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง เพราะการเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสม ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการดูแลผิวเช่นกันครับ

คลิกอ่านหัวข้อ กันแดดมีกี่ประเภท ?


ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ? แบ่งออกเป็นกี่แบบ ?

หลายคนอาจสงสัยว่ากันแดดมีกี่ประเภท ? แบ่งออกเป็นกี่แบบ ? หมอต้องบอกก่อนว่า กันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV หรือรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และมะเร็งผิวหนัง

ในปัจจุบัน ตามท้องตลาดทั่วไปมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบครีม เจล สเปรย์ แป้ง แท่ง ซึ่งกันแดดแบบครีมจะมีมากที่สุด กะปริมาณใช้งานง่ายที่สุด รวมถึงติดทนที่สุดด้วยครับ

ส่วนถ้าแบ่งตามลักษณะการทำงานจะแบ่งเป็น 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทของครีมกันแดดมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวที่แตกต่างกันไป สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับสภาพผิว และความต้องการของแต่ละคน มาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกันครับ

1. ครีมกันแดดเคมิคอล (Chemical Sunscreen)

Chemical Sunscreen หรือกันแดดแบบดูดซับรังสี มีสารกันแดดที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ ซึ่งเป็นสารกันแดดที่พบได้ทั่วไปครับ

ประเภทกันแดดนี้จะทำหน้าที่ดูดซับรังสียูวี ไม่ให้ทะลุผ่านไปยังผิวหนัง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความร้อนที่ปลอดภัยต่อผิวและปล่อยออกไป ทำให้รังสีไม่สามารถทะลุผ่านและทำอันตรายต่อชั้นผิวหนังของเราได้ครับ

กันแดดประเภท Chemical Sunscreen
ตัวอย่างสารกันแดดประเภท Chemical Sunscreen

ข้อดี

  • เนื้อบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ
  • ซึมไว ไม่ทิ้งคราบขาวไว้บนผิว
  • ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นได้ง่ายกว่า เช่น เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์
  • ราคาถูก

ข้อจำกัด

  • อาจระคายเคืองผิวในบางคน โดยเฉพาะผิวแพ้ง่าย
  • ปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ แต่รังสี UVA อาจไม่ครบทุกชนิด
  • ต้องรอประมาณ 20-30 นาที เพื่อให้กันแดดเซ็ทตัว
  • จำเป็นต้องทาซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง หากสัมผัสแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานาน

2. ครีมกันแดดฟิสิคอล (Physical Sunscreen)

Physical Sunscreen หรือกันแดดแบบสะท้อนรังสี มีสารกันแดดจาก Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ประเภทของกันแดดนี้ทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกัน สะท้อนรังสียูวีให้กระจายออกไปจากผิวครับ

หลังทาเนื้อครีมจะเคลือบอยู่บนผิวและถูกดูดซึมเล็กน้อย จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย และยังสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กันแดดประเภท Physical Sunscreen
ตัวอย่างสารกันแดดประเภท Physical Sunscreen

ข้อดี

  • ป้องกันได้ทั้งรังสี UVA-I, UVA-II และ UVB
  • โอกาสแพ้น้อย เกิดการระคายเคืองได้ยาก
  • ปกป้องผิวได้ทันทีหลังทา
  • อยู่บนผิวได้นาน ทนต่อความร้อนและแสงแดดได้ดี ไม่ต้องทาซ้ำบ่อย

ข้อจำกัด

  • เนื้อค่อนข้างหนัก เกลี่ยยาก เหนียวเหนอะหนะ
  • มักทิ้งคราบขาวไว้บนผิว
  • หลุดออกจากผิวได้ง่าย เมื่อโดนน้ำหรือเหงื่อ
  • ต้องใช้ปริมาณมาก เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ครีมกันแดดไฮบริด (Hybrid Sunscreen)

Hybrid Sunscreen หรือกันแดดแบบผสม เป็นการผสมผสานข้อดีของครีมกันแดด 2 ประเภทไว้ด้วยกันครับ

มีคุณสมบัติทั้งการดูดซับและสะท้อนรังสีในตัวเอง สามารถปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครอบคลุม จึงทำให้ครีมกันแดดประเภทนี้ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

ประเภทกันแดด Hybrid Sunscreen
ตัวอย่างสารกันแดดประเภท Hybrid Sunscreen

ข้อดี

  • ให้การปกป้องที่ครอบคลุม ทั้งจากรังสี UVA และ UVB
  • สามารถดูดซับและสะท้อนรังสี UV ได้
  • เกิดการระคายเคือง หรืออาการแพ้ได้น้อย
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว อ่อนโยน ปลอดภัยต่อเด็กและสตรีมีครรภ์
  • ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว
  • ใช้ร่วมกับเครื่องสำอาง และสกินแคร์อื่น ๆ ได้ง่าย

ข้อจำกัด

  • ต้องทากันแดดให้ถูกวิธี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพปกป้องผิวเต็มที่
  • จำเป็นต้องทาซ้ำระหว่างวัน ตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์

คลิกอ่านเพิ่มเติม : กันแดด Physical, Chemical, Hybrid คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?


กันแดดประเภทไหน ปกป้องผิวได้ดีสุด ?

แต่ละประเภทของครีมกันแดดมีข้อดีแตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิว หมอขอแนะนำครีมกันแดดประเภท Hybrid และ Physical เป็นหลัก

เพราะทั้งสองประเภทนี้ปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และ UVB รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้ดีกว่าครีมกันแดดแบบ Chemical ครับ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและลักษณะการใช้งานของแต่ละคน

ครีมกันแดดหน้า Hybrid Sunscreen สูตรอ่อนโยน
Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 PA+++

DR. V SQUARE Sunscreen Cream ประเภทกันแดด Hybrid

ครีมกันแดดทาหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream มีค่า SPF 40 PA+++ เป็น Hybrid Sunscreen ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA-I, UVA-II, UVB, Blue Light และ IR อย่างครอบคลุมด้วย 3 กระบวนการ ทั้งสะท้อน กระเจิง และดูดซับ ในเนื้อเดียว โดยมีสารกันแดดคุณภาพสูง นำเข้าจากเยอรมนี พร้อมสาร Soothing Cooling จากเกาหลีใต้ ช่วยลดอาการแสบร้อนหลังสัมผัสแดด ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทยครับ

ทาง Dr. V Square ได้พัฒนาสูตรให้อ่อนโยน เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว มีเนื้อครีมบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติกันน้ำ ช่วยปกป้องผิวได้ยาวนาน สามารถใช้เป็นเบสก่อนแต่งหน้า หรือทาทับระหว่างวันทุก 4 ชั่วโมงได้ครับ


ครีมกันแดดแต่ละประเภท ควรมีค่า SPF & PA เท่าไหร่ ?

ครีมกันแดดแต่ละประเภท ควรมีค่า SPF & PA เท่าไหร่ ? คำถามนี้ทาง US FDA แนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวจากทั้งรังสี UVA และ UVB โดยมีค่า SPF 15 ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง และผิวแก่ก่อนวัย

สำหรับหมอขอแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดดประเภทไหน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30-50 และ ค่า PA+++ ขึ้นไป เพราะสำหรับการใช้งานประจำวัน ค่า SPF 30 ถือว่าเพียงพอต่อการปกป้องผิวแล้วครับ

แต่หากต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือทำกิจกรรมกลางแดดจัด ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป และทาซ้ำระหว่างวันทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงครับ

ใช้ครีมกันแดด

เลือกประเภทของครีมกันแดดอย่างไร ? ให้เหมาะกับผิว

การเลือกประเภทครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพราะจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมา

หมอขอแนะนำให้เลือกครีมกันแดดตามสภาพผิวดังนี้

  • ผิวมัน : ควรเลือกครีมกันแดดแบบ Hybrid หรือ Chemical ที่มีเนื้อบางเบา ซึมไว ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ ไม่อุดตันรูขุมขน และเลือกใช้สูตรครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำมัน (Oil-free) เพื่อควบคุมความมัน ป้องกันการเกิดสิว
  • ผิวผสม : ควรใช้กันแดดประเภท Hybrid Sunscreen ที่สามารถปกป้องได้ทั้งจากรังสี UVA และ UVB โดยมองหาสูตรที่ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่เหนอะหนะ นอกจากนี้ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถควบคุมความมันบริเวณทีโซน (T-zone) และให้ความชุ่มชื้นในส่วนของผิวที่แห้ง
  • ผิวแห้ง : ควรเลือกใช้กันแดดแบบ Hybrid หรือ Physical ที่มีเนื้อครีมหนาขึ้น โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น มอยส์เจอร์ไรเซอร์ กรดไฮยาลูโรนิก และเซราไมด์ เพื่อช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้านระหว่างวัน
  • ผิวบอบบางแพ้ง่าย : ควรใช้กันแดดประเภท Physical Sunscreen เพราะอ่อนโยนต่อผิว เกิดการระคายเคืองได้น้อยที่สุด โดยหลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองอย่าง แอลกอฮอล์ พาราเบน ซิลิโคน น้ำหอม รวมถึงควรเลือกสูตรที่ออกแบบมาสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

ข้อควรระวังการใช้กันแดดแต่ละประเภท

แต่ละประเภทของกันแดดมีข้อควรระวังการใช้ที่ควรรู้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นครับ

สำหรับการใช้กันแดด Chemical Sunscreen ต้องระวังเรื่องการระคายเคือง โดยเฉพาะคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย กันแดดประเภทนี้ต้องทาล่วงหน้าอย่างน้อย 20-30 นาทีก่อนออกแดด และอาจทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน กลายเป็นสิวได้ หากเลือกใช้สูตรที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

ส่วนครีมกันแดดแบบ Physical Sunscreen อาจทิ้งคราบขาวบนผิว ทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่สีผิวเข้ม เนื้อครีมของกันแดดประเภทนี้มักจะหนากว่า ทำให้รู้สึกเหนอะหนะหรือไม่สบายผิว และอาจหลุดออกจากผิวได้ง่ายถ้ามีเหงื่อออกหรือโดนน้ำ

คราบขาวบนผิว
กันแดดประเภท Physical Sunscreen มีเนื้อครีมหนา ทำให้อาจทิ้งคราบขาวบนผิว

สำหรับ Hybrid Sunscreen ต้องระวังเรื่องการระคายเคืองเนื่องจากมีการรวมส่วนประกอบจากกันแดดทั้งสองประเภท และหากเลือกสูตรที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว อาจทำให้ผิวมันและรู้สึกเหนอะหนะได้ครับ


สรุปเรื่องประเภทครีมกันแดด

มาถึงตรงนี้ทุกคนคงได้รู้แล้วว่ากันแดดมีกี่ประเภท ? ซึ่งครีมกันแดดแต่ละประเภท ทั้ง Chemical, Physical, Hybrid Sunscreen ล้วนมีข้อดี – ข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป

การเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิว และความต้องการของแต่ละคน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะเลือกประเภทไหน ควรเลือกค่า SPF อย่างน้อย 30 และ PA+++ ขึ้นไป และอย่าลืมทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน