เรตินอล

เรตินอล (Ratinol)​

เมื่อพูดถึงตัวช่วยดูแลผิวที่หลายคนพูดถึงกันบ่อย ๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เรตินอล (Retinol) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่อยู่ในครีมที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก ช่วยลดเลือนริ้วรอย รักษาสิว และปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้จริง แต่การใช้เรตินอลก็ต้องมีความรู้และความระมัดระวัง เพราะหากใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย

ดังนั้น ในบทความนี้หมอจะพาทุกคนมาทำความรู้จักว่า เรตินอลคืออะไร ? มีกี่แบบ ? ช่วยเรื่องอะไร ? อันตรายไหม ? ปลอดภัยหรือไม่ ? มีผลข้างเคียงอย่างไร ? ควรทาตอนไหน ? รวมถึงแนะนำวิธีการใช้เรตินอลที่ถูกต้อง ให้ได้ผลและปลอดภัยครับ

คลิกอ่านหัวข้อ เรตินอล (Ratinol)​


เรตินอล คืออะไร ?

เรตินอล คืออะไร

Retinol หรือ เรตินอล คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอชนิดหนึ่ง (Vitamin A derivative) ที่นิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น ครีม โลชั่น เซรั่ม และเจล โดยมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ลดเลือนริ้วรอย แก้ไขปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รวมถึงรักษาสิว เพื่อทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ และเรียบเนียนขึ้น

กระบวนการทำงานของเรตินอล

การทำงานของเรตินอล

เมื่อเราทาผลิตภัณฑ์ที่มี เรตินอล (Retinol) ลงบนผิวหนัง เรตินอลจะถูกเปลี่ยนรูปโดยเอนไซม์ที่ผิวหนังให้กลายเป็นเรตินัลดีไฮด์ (Retinaldehyde) และเปลี่ยนต่อไปเป็นกรดเรติโนอิก (Retinoic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์โดยตรง

โดยสารนี้จะไปกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ลดการอุดตันรูขุมขน รวมทั้งเร่งการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลง ผิวกระชับขึ้น และสีผิวสม่ำเสมอขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เรตินอล (Ratinol) มีกี่แบบ ?

เรตินอล (Retinol) หรือที่เรียกกันว่า “อนุพันธ์วิตามินเอ (Vitamin A derivatives)” ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สามารถแบ่งได้หลัก ๆ 6 แบบ โดยแต่ละแบบมีระดับความแรง และเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่อ่อนโยนไปจนถึงฤทธิ์แรงที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนี้

เรตินอล มีกี่แบบ
  1. Retinyl Esters รูปแบบอ่อนโยนที่สุดของวิตามินเอ เหมาะสำหรับผู้เริ่มใช้ ช่วยบำรุงผิวเบื้องต้น ลดริ้วรอยจาง ๆ ได้เล็กน้อย ออกฤทธิ์ช้า ระคายเคืองน้อย เหมาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย
  2. Retinol นิยมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป ช่วยลดริ้วรอย จุดด่างดำ สิวอ่อน ๆ กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว กระชับรูขุมขน ปรับผิวเรียบเนียน อาจระคายเคืองช่วงแรก ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ
  3. Retinaldehyde ฤทธิ์แรงกว่าเรตินอล 10 เท่า เห็นผลรวดเร็วในการลดริ้วรอย ฝ้า กระ แปลงเป็นกรดเรติโนอิกได้ทันที มีประสิทธิภาพสูงแต่ยังอ่อนโยน ลดโอกาสระคายเคืองได้ดีกว่ากรดเรติโนอิก เหมาะสำหรับผิวทั่วไป
  4. Retinoic Acid / Tretinoin ออกฤทธิ์โดยตรงบนผิวหนัง มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสิว ริ้วรอยลึก มีผลข้างเคียงสูง เช่น ผิวแดง ลอก และไวต่อแดด ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น และควรใช้อย่างระมัดระวัง
  5. Adapalene อนุพันธ์เรตินอยด์สังเคราะห์ ใช้รักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบโดยเฉพาะ ออกฤทธิ์ที่ต่อมไขมัน ลดการอุดตันและอักเสบได้ดีมาก ระคายเคืองน้อยกว่าเตรทติโนอิน หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา
  6. Tazarotene เรตินอยด์ที่มีฤทธิ์แรงที่สุด ใช้รักษาสิวระดับรุนแรง โรคสะเก็ดเงิน ช่วยลดริ้วรอย ฝ้าลึก จุดด่างดำได้ดีเยี่ยม แต่ระคายเคืองสูง ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น

สำหรับมือใหม่ควรเริ่มจากการใช้ Retinol หรือ Retinyl Esters ที่อ่อนโยน จากนั้นหากต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและเร็วขึ้น อาจขยับไปใช้ Retinaldehyde หรือ Retinoic Acid ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลดีที่สุดครับ


การใช้เรตินอล ช่วยเรื่องอะไร ?

  • ช่วยลดริ้วรอยและชะลอวัย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระชับ เรียบเนียน
  • ช่วยรักษาสิว ผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน ลดสิวอักเสบ
  • ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ เร่งผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดรอยดำจากสิวและฝ้า
  • ช่วยปรับผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ
  • ช่วยเสริมสร้างผิวให้แข็งแรง กระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ลดความหมองคล้ำ ผิวดูสุขภาพดี

เรตินอล อันตรายไหม ปลอดภัยหรือไม่ ?

เรตินอล อันตรายไหม

เรตินอลไม่อันตรายครับ ถ้าใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพผิว แต่หากใช้ไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดผิวแห้ง แดง ลอก หรือระคายเคืองได้ โดยเฉพาะคนผิวบอบบาง ดังนั้นต้องเริ่มใช้ทีละน้อย และใช้ให้ถูกวิธีเสมอครับ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เรตินอล

แม้เรตินอลจะมีประโยชน์มาก แต่ในช่วงเริ่มต้นใช้อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือใช้ร่วมกับสารที่ระคายเคืองผิว ข้อควรระวังที่อาจพบได้ มีดังนี้

  • ผิวแห้งและลอกเป็นขุย เพราะผิวกำลังปรับตัวและมีการผลัดเซลล์ผิวมากกว่าปกติ
  • ผิวแดง รู้สึกแสบหรือตึง โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกที่เริ่มใช้
  • มีสิวเห่อหรือสิวผุดขึ้นชั่วคราว เป็นกระบวนการที่ผิวขับของเสียและสิ่งอุดตันออกมา (Purging)
  • ผิวไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวหมองได้ง่ายหากไม่ทากันแดด

ทั้งนี้ หากมีอาการรุนแรง แนะนำให้หยุดใช้ Retinol ทันที และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง


วิธีใช้เรตินอลที่ถูกต้อง ให้ได้ผลและปลอดภัย

การใช้เรตินอลให้ได้ผลและปลอดภัย ต้องใช้ให้ถูกวิธี เพราะหากใช้ผิดอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดปัญหาผิวได้ง่าย โดยมีขั้นตอนการใช้ที่แนะนำดังนี้ครับ

วิธีใช้เรตินอล
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว : มือใหม่แนะนำให้เริ่มจากครีมเรตินอล หรือ เซรั่มเรตินอล ที่มีความเข้มข้นต่ำ (0.1%–0.3%) เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ปรับตัวได้ง่าย
  • ทาบนผิวที่แห้งสนิท : หลังล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งก่อน เพราะการทาบนผิวเปียกจะทำให้ระคายเคืองมากขึ้น
  • ใช้ปริมาณน้อย : บีบครีมเรตินอล หรือ เซรั่มเรตินอล เท่าเมล็ดถั่ว ก็เพียงพอสำหรับทาทั่วใบหน้า
  • ทาเฉพาะตอนกลางคืน : เรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสง ควรใช้เฉพาะก่อนนอนเท่านั้น และไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
  • ลงมอยส์เจอไรเซอร์ตามทันที : เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและลดอาการระคายเคือง
  • ตอนเช้าต้องทากันแดดทุกวัน : ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป เพราะผิวที่ใช้เรตินอลจะไวต่อแดดมากกว่าปกติ

การทำตามวิธีนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การใช้ครีมเรตินอล หรือ เซรั่มเรตินอล ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและเห็นผลดีในระยะยาวครับ

เรตินอล ควรทาตอนไหน ?

เรตินอล ควรทาตอนไหน

เรตินอลเหมาะสำหรับใช้ ตอนกลางคืน เพราะช่วงเวลานอนหลับเป็นเวลาที่ผิวซ่อมแซมและฟื้นฟูได้ดีที่สุด อีกทั้งเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสง หากใช้กลางวันอาจเสี่ยงต่อการระคายเคืองและผิวไหม้จากแดดได้ง่าย

ทาเรตินอลขั้นตอนไหนเมื่อลงสกินแคร์ ?

ลำดับการทาเรตินอล

การทาเรตินอลควรทำหลังล้างหน้า และลงโทนเนอร์ จากนั้นทาเรตินอลเล็กน้อยบริเวณที่ต้องการ รอให้ซึม แล้วปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ซ้ำอีกครั้ง เพื่อลดการระคายเคือง

และที่สำคัญใช้เรตินอลเฉพาะก่อนนอน และทาครีมกันแดดในเช้าวันถัดไปทุกครั้ง

หรือจะจำง่าย ๆ ว่า เริ่มจากเนื้อเบาไปเนื้อหนักตามการทำ Skincare Routine เช่น โทนเนอร์ที่บางที่สุด ตามด้วยเซรั่มหรือเรตินอล และปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีเนื้อเข้มข้นที่สุด เพื่อเคลือบผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น

เนื้อสกินแคร์แต่ละประเภท
ความแตกต่างของเนื้อสกินแคร์แต่ละประเภท

ควรใช้เรตินอล บ่อยแค่ไหน ?

หลายคนสงสัยว่า ควรใช้เรตินอลกี่ครั้งต่อสัปดาห์ ถึงจะเหมาะสม ?

สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผิวค่อย ๆ ปรับตัว เมื่อผิวเริ่มชินแล้วสามารถเพิ่มความถี่เป็น วันเว้นวัน หรือ ทุกคืนได้ตามความแข็งแรงของผิว

แต่หากมีอาการระคายเคือง ควรหยุดพักให้ผิวฟื้นตัว และกลับมาใช้ Retinol เมื่อผิวพร้อม ที่สำคัญคือฟังสัญญาณจากผิวตัวเอง และไม่เร่งใช้มากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวลอก แสบ หรือไวต่อแสงได้


สามารถใช้เรตินอลทุกวันได้ไหม ?

โดยทั่วไป ผู้เริ่มต้นไม่ควรใช้เรตินอลทุกวันทันที เพราะผิวต้องการเวลาในการปรับตัว เริ่มจากสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก่อน เมื่อผิวเริ่มแข็งแรง ไม่ระคายเคือง จึงค่อยเพิ่มความถี่เป็นวันเว้นวัน และหากผิวทนได้ดี จึงสามารถใช้ได้ทุกคืน

สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย อาจไม่เหมาะกับการใช้เรตินอลทุกวัน และควรสังเกตผิวตลอดเวลา หากมีผิวแห้ง แดง ลอก ควรลดความถี่ลง และเน้นการบำรุงผิวและทากันแดดทุกวันควบคู่กันไปเสมอ


ห้ามใช้เรตินอลกับอะไรบ้าง ?

แม้ว่าเรตินอลจะเป็นส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ดี แต่ก็มีบางส่วนผสมที่ไม่ควรใช้ร่วมกันครับ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง ลอก หรือเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงขึ้นได้ สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มใช้เรตินอล ควรรู้ว่าอะไรบ้างที่ควรเลี่ยงไม่ให้ใช้คู่กับเรตินอล ดังนี้

สกินแคร์ที่ห้ามใช้กับเรตินอล
  • ห้ามใช้ เรตินอล คู่กับ กรดวิตามินซี (Vitamin C) – แม้ว่าวิตามินซีจะช่วยเรื่องผิวขาวกระจ่างใส แต่ไม่ควรใช้ร่วมกับเรตินอลในเวลาเดียวกัน เพราะทั้งสองมีค่า pH ต่างกัน อาจทำให้ผิวระคายเคือง ควรใช้วิตามินซีตอนเช้า และเรตินอลก่อนนอนจะดีกว่าครับ
  • ห้ามใช้ เรตินอล คู่กับ กรด AHA และ BHA – สารผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA และ BHA ถ้าใช้ร่วมกับเรตินอล จะทำให้ผิวแห้ง ตึง ลอก และเกิดอาการแสบได้ง่าย เพราะต่างก็มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ควรเลือกใช้สลับวันกันแทนครับ
  • ห้ามใช้ เรตินอล คู่กับ เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) – ส่วนใหญ่ใช้ในยารักษาสิว แต่ถ้าใช้พร้อมกับเรตินอล จะทำให้ทั้งสองตัวหักล้างกัน และลดประสิทธิภาพลง อีกทั้งยังทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองหนักขึ้นอีกด้วย
  • ห้ามใช้ เรตินอล คู่กับ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) – แม้ว่าจะช่วยเรื่องสิวได้ดี แต่ไม่ควรใช้คู่กับเรตินอล เพราะจะทำให้ผิวแห้งและลอกมากเกินไป จนผิวอ่อนแอได้ง่ายครับ
  • ห้ามใช้เรตินอล คู่กับ สารที่ทำให้ผิวระคายเคืองสูงอื่น ๆ – เช่น น้ำหอมในสกินแคร์ที่เข้มข้น แอลกอฮอล์สูง หรือสารที่ทำให้ผิวแสบ เพราะเมื่อใช้ร่วมกับเรตินอล จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคือง

สรุปคือ ควรแยกการใช้เรตินอลออกจากสารผลัดผิวแรง ๆ และสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง และจัดเวลาใช้ให้เหมาะสม จะทำให้เห็นผลดีและปลอดภัยที่สุดครับ


ใช้เรตินอล คู่กับอะไรดี ?

การใช้เรตินอลจะได้ผลดียิ่งขึ้น ถ้าใช้ร่วมกับส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิวและเพิ่มความชุ่มชื้น มาดูคู่หูที่ใช้คู่กับเรตินอลได้ ดังนี้ครับ

ใช้เรตินอล คู่กับอะไรดี
  • เรตินอล + กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) – เพราะเรตินอลอาจทำให้ผิวแห้งได้ การใช้คู่กับกรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำใต้ผิว จะช่วยให้ผิวไม่ลอก ไม่แห้งตึง และรู้สึกสบายผิวมากขึ้น เหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงผิวตลอดเวลา
  • เรตินอล + เปปไทด์ (Peptides) – เรตินอลช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เปปไทด์ก็ทำหน้าที่คล้ายกัน การใช้ร่วมกันจึงช่วย “เสริมกำลัง” กัน ทำให้ผิวแน่น กระชับขึ้นเร็วขึ้น ริ้วรอยลดไวขึ้น และยังช่วยให้โครงสร้างผิวแข็งแรงมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ผลลัพธ์เรื่องผิวอ่อนวัยแบบชัดเจน
  • เรตินอล + ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)เมื่อผิวผลัดเซลล์จากเรตินอล ผิวอาจบอบบางและสูญเสียน้ำง่าย ไนอาซินาไมด์จะช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว ลดรอยแดง ลดการระคายเคือง และทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น เหมือนเป็นตัวช่วยคอยปลอบใจผิวขณะใช้เรตินอล
  • เรตินอล + อัลลันโทอิน (Allantoin) – สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย แต่อยากลองใช้เรตินอล การใช้ร่วมกับอัลลันโทอินจะช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแสบ แดง หรือคันที่อาจเกิดขึ้น และยังช่วยเร่งการฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • เรตินอล + สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea) – ชาเขียวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยป้องกันผิวจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะและแสงแดด การใช้คู่กับเรตินอลจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดความเสี่ยงจากการอักเสบหรือแดงลอก และช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ดี

ข้อควรระวังการใช้เรตินอล สำหรับมือใหม่

แม้เรตินอลจะมีประโยชน์มาก แต่หากใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น ควรระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อผิวที่สวยและปลอดภัย ดังนี้ ครับ

  • เริ่มใช้เรตินอลจากความเข้มข้นต่ำเสมอ มือใหม่ควรเริ่มใช้เรตินอลที่มีความเข้มข้นประมาณ 0.1%–0.3% เพื่อให้ผิวได้ปรับตัว
  • ทาเรตินอลเฉพาะตอนกลางคืน หลีกเลี่ยงการใช้ในตอนกลางวัน เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
  • ใช้เรตินอลร่วมกับมอยส์เจอไรเซอร์ ทามอยส์เจอไรเซอร์ตามหลังทุกครั้งเพื่อลดความแห้งและระคายเคือง
  • ทากันแดดเป็นประจำทุกเช้า หลังใช้เรตินอล ผิวจะไวต่อแสง ควรทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
  • อย่าใช้เรตินอลร่วมกับกรดผลัดเซลล์ผิวหรือสารที่ระคายเคืองแรง หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับ AHA, BHA, Vitamin C หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองหนักขึ้น
  • งดใช้เรตินอลหากตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สารกลุ่มวิตามินเอมีผลกระทบต่อพัฒนาการของทารก จึงไม่ควรใช้โดยเด็ดขาด
  • หากมีอาการแพ้หรือระคายเคืองมาก ให้หยุดใช้เรตินอลทันที แล้วปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อความปลอดภัย

สรุปเรื่องเรตินอล ก่อนใช้ดูแลผิว

เรตินอล (Retinol) คือสารบำรุงผิวที่มีคุณสมบัติช่วยในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ลดริ้วรอย รักษาสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังและถูกต้อง เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง โดยควรเริ่มใช้จากความเข้มข้นต่ำ แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่ม และไม่ลืมทามอยส์เจอไรเซอร์กับครีมกันแดดทุกเช้า

สำหรับใครที่อยากแก้ปัญหาผิว เช่น สิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง หรือความหมองคล้ำ เรตินอลถือเป็นสารตัวหนึ่งที่ช่วยได้ดี หากใช้ถูกวิธีอย่างต่อเนื่องครับ


อ้างอิง

อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่: 22 เมษายน 2568

Share: