
วิธีรักษาฝ้า
วิธีรักษาฝ้า แก้ฝ้าหายขาด มีหลายวิธีก็จริงครับ แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่สามารถกำจัดฝ้าได้ถาวร หมอรวบรวมวิธีที่เห็นผล รวมถึงวิธีเช็กสภาพผิวหน้า และระดับการเกิดฝ้าตื้น ฝ้าลึก ซึ่งเป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยของคนไทย ที่ต้องออกนอกบ้านไปเผชิญกับแสงแดดแรงแทบทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
ก่อนรักษาฝ้าจึงควรเข้าใจถึงสาเหตุ เพื่อนำไปสู่วิธีการรักษาที่ถูกต้อง บทความนี้หมอจะพามาเจาะลึกตั้งแต่สาเหตุ ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ? รักษาฝ้าด้วยวิธีไหนได้บ้าง ? ไปจนถึงการดูแลป้องกัน ไม่ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้อีก
คลิกอ่านหัวข้อ
ฝ้าคืออะไร ? ทำไมถึงเกิดฝ้า
ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะความผิดปกติของผิวหนังที่มีการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ส่งผลให้เกิดรอยสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเทา หรือเทาเข้มบนใบหน้า มักพบเป็นปื้นขนาดใหญ่หรือกว้างกว่ากระทั่วไป โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก ขมับ และสันจมูก ซึ่งมักจะเห็นชัดขึ้นเมื่อโดนแดด

สาเหตุหลักของการเกิดฝ้า ได้แก่
- แสงแดดและรังสี UV กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้เกิดปื้นฝ้าบนผิว
- ฮอร์โมน พบได้บ่อยในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงวัย 30-40 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นฝ้า จะมีโอกาสเกิดฝ้าได้มากกว่าคนทั่วไป
- ยาและสารบางชนิด เช่น ยากันชัก เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมก่อการระคายเคือง อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ผิวอ่อนแอลง ซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง ทำให้ฝ้าเกิดง่ายและจางลงยากกว่าเดิม
ลักษณะฝ้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
- ฝ้าตื้น อยู่เฉพาะในชั้นหนังกำพร้า ลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน รักษาได้ง่าย ตอบสนองต่อยาทาและเลเซอร์ได้ดี
- ฝ้าลึก อยู่ในชั้นหนังแท้ มักมีสีออกน้ำตาลเทา รักษายากกว่า และมักต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน
- ฝ้าผสม เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกัน ทำให้การรักษาต้องอาศัยการประเมินอย่างรอบคอบจากแพทย์

นอกจากฝ้า 3 ประเภทหลัก ยังสามารถแบ่งตามสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น เช่น
- ฝ้าตามอายุ มักพบในผู้สูงอายุ เนื่องจากผิวอ่อนแอและซ่อมแซมตัวเองได้ช้าลง
- ฝ้าฮอร์โมน มักเกิดในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือผู้ที่มีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- ฝ้าแดด เกิดจากการได้รับรังสี UV จากแสงแดดมากเกินไป ทำให้เม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ
แม้ฝ้าจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและดูแก่กว่าวัย จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนอยากหาวิธีรักษาฝ้าและกำจัดฝ้า เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนและกระจ่างใสอีกครั้ง
วิธีรักษาฝ้า มีอะไรบ้าง ?
การรักษาฝ้ามีหลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้า ความลึกของเม็ดสี และสภาพผิวของแต่ละคน บางวิธีช่วยให้ฝ้าจางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่บางวิธีเห็นผลลัพธ์เร็วและชัดเจน
สิ่งสำคัญของวิธีรักษาฝ้า คือการรักษาที่ตรงจุด และทำอย่างถูกวิธี อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งจะสามารถประเมินได้ว่าปัญหาฝ้าของเรานั้นเหมาะกับการรักษาแบบไหน หรือควรใช้วิธีรักษาฝ้าหลายวิธีผสมผสานกัน เพื่อให้เห็นผลดีที่สุด
ยาทาฝ้า
การใช้ยาทาฝ้า เช่น Hydroquinone, Tretinoin, Kojic acid, Azelaic acid และกรดผลไม้ (AHA, BHA) ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและผลัดเซลล์ผิวที่คล้ำออก เหมาะกับฝ้าตื้น แต่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียง
ครีมกันแดด
ถือเป็นยาหลักในการควบคุมฝ้า เพราะหากไม่ป้องกันแสงแดด การรักษาอื่น ๆ ก็จะไม่ได้ผล ดังนั้นเพื่อป้องกันแสงแดดที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า ควรเลือกใช้ครีมกันแดด Triple Protection ที่สามารถป้องกันแสงแดดได้ทุกช่วง ทุกคลื่นรังสี
ครีมกันแดดมีกี่ประเภท ? รู้เคล็ดลับเลือกแบบไหนให้เหมาะกับผิว หมอเคยเขียนอธิบายไว้ในบทความก่อนหน้า คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ครับ

เลเซอร์รักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยจัดการเม็ดสีที่มากเกินไปได้โดยตรง พร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น สามารถรักษาฝ้าได้ตั้งแต่ฝ้าตื้นไปจนถึงฝ้าลึก
ประเภทเลเซอร์ฝ้าที่นิยม
| Pico Laser | กำจัดฝ้าแม่นยำ ลดเม็ดสีได้เร็ว เช่น PicoSure Pro, PicoPlus | 
|---|---|
| RF Microneedling | รักษาฝ้า ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก ป้องกันเกิดฝ้าซ้ำ เช่น Sylfirm X | 
| Q-Switched Nd:YAG | ลดเม็ดสีฝ้า กระ รอยดำ | 
| Dual Yellow Laser | รักษาปัญหาเม็ดสี รอยดำ และรอยแดงต่าง ๆ | 
| Fractional Laser | ลดฝ้า ริ้วรอย และรูขุมขนกว้าง | 
วิธีรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ ควรทำต่อเนื่อง 4-6 ครั้ง (ขึ้นกับความเข้มของฝ้าและสภาพผิว) โดยฝ้าจะค่อย ๆ จางลง ควรทาครีมกันแดดควบคู่อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นฝ้าอาจกลับมาเข้มขึ้นได้
ลอกหน้าผลัดเซลล์ผิว
Chemical Peel หรือการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี เป็นการใช้กรดอ่อน ๆ เช่น Glycolic acid, Lactic acid, Salicylic acid หรือ Trichloroacetic acid (TCA) ทาบริเวณผิวหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไป พร้อมกับกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนและสว่างใสกว่าเดิม
วิธีนี้มีข้อควรระวัง ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง หากใช้ปริมาณความเข้มข้นของกรดสูง หลังทำจะทำให้หน้าแดง ลอก หรือรุนแรงถึงขั้นผิวไหม้ เกิดรอยดำถาวรได้ จึงต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
เมโสฝ้า
เมโสฝ้า (Meso Melasma) คือ การฉีดวิตามินผิวและสารบำรุงต่าง ๆ เข้าไปโดยตรงในชั้นผิว เพื่อช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ปรับสีผิวให้สว่างขึ้น และฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยรวมให้แข็งแรงมากขึ้น เห็นผลไวกว่าการทาครีมบำรุงผิวทั่วไป โดยสูตรเมโสรักษาฝ้าที่นิยม เช่น Neoclear, Tensonez, Neo Glutanex และ Alpha Arbutin

PRP หน้าใส
PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คือ เทคนิคการรักษาที่ใช้เลือดของคนไข้เองมาปั่นแยกเพื่อสกัดเอาเกล็ดเลือดเข้มข้นที่อุดมไปด้วย Growth factors และโปรตีนสำคัญ จากนั้นฉีดกลับเข้าสู่ผิวบริเวณที่ต้องการรักษา เช่น แก้ม หรือบริเวณที่มีฝ้า เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ฟื้นฟูการไหลเวียนเลือดใต้ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น
รีจูรัน
การฉีด Rejuran คือ สารสกัดจาก Polynucleotide (PN) ซึ่งได้มาจาก DNA ของปลาแซลมอน มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวในระดับเซลล์ ปัจจุบันรีจูรันนิยมใช้เพื่อแก้ปัญหาผิวอ่อนแอ หมองคล้ำ และมีริ้วรอย รวมถึงช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาฝ้าด้วย
โดยจะเหมาะกับผู้ที่มีฝ้าลึกหรือฝ้าที่เป็นมานาน และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวให้แข็งแรงไปพร้อมกับการลดฝ้าครับ
สกินบูสเตอร์
Skin Booster หรือการฉีดสาร Hyaluronic Acid (HA) โมเลกุลเล็กลงไปในผิวชั้นตื้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูคุณภาพผิวโดยตรง เหมาะกับการแก้ไขปัญหาฝ้าที่เกิดจากผิวหมองคล้ำ อ่อนแอ และเสื่อมสภาพจากแสงแดด
โดยยี่ห้อ Skin Booster ที่นิยม เช่น Belotero Revive, Restylane Vital Light และ Skinvive ซึ่งจะเน้นการฟื้นฟูคุณภาพผิวและเพิ่มความแข็งแรงจากภายใน เมื่อผิวสุขภาพดีขึ้น ฝ้าจะจางลงและกลับมายากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่อยากได้ผิวกระจ่างใสแบบเป็นธรรมชาติ
สารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) มีบทบาทสำคัญในการรักษาฝ้า เพราะช่วยลดการอักเสบของผิวและยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป โดยอนุมูลอิสระจากแสงแดด ความร้อน และมลภาวะ เป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกติ การให้สาร Antioxidants จึงช่วยเบรกกระบวนการสร้างฝ้าได้
สารเหล่านี้มีอยู่ทั้งในอาหารเสริมที่ช่วยเสริมการป้องกันฝ้าในระยะยาว รวมถึงการฉีดวิตามินผิว และดริปวิตามิน (IV Drip) ที่ให้ผลเร็วครับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวทั้งจากภายในและภายนอก
การดูแลหลายวิธีร่วมกัน
การดูแลร่วมกันหลายวิธี ช่วยเสริมให้การรักษาฝ้าได้ผลดีขึ้น เพราะถ้าไม่ปรับพฤติกรรมหรือดูแลผิวควบคู่กัน ฝ้าอาจกลับมาเข้มขึ้นหรือตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น ๆ ได้ไม่เต็มที่
หลักการการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้จะเน้นหัวใจหลัก คือ
- ลดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น (เช่น แสงแดด ความร้อน ความเครียด)
- เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น (เซรั่มลดฝ้า ครีมบำรุงผิวชุ่มชื้น ทาครีมกันแดด)
- ทำการรักษาฝ้าด้วยทางการแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

แนะนำวิธีรักษาฝ้าที่ทำได้ที่บ้าน
นอกจากการรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์แล้ว การดูแลผิวด้วยตัวเองที่บ้านก็มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ การรักษาฝ้าด้วยตัวเอง มีส่วนช่วยควบคุมไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น และเสริมให้การรักษาเห็นผลดียิ่งขึ้น
ล้างหน้า : Dr. V Square Soft Cleansing Mousse
เป็นฝ้า ใช้อะไรล้างหน้าดี ? การล้างหน้าเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่หลายคนอาจมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการดูแลผิวที่เป็นฝ้า เพราะการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกและความมันส่วนเกินที่อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
ซอฟต์ คลีนซิ่ง มูส
Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

Dr. V Square Soft Cleansing Mousse คลีนซิ่งที่มีส่วนผสมลดเลือนฝ้า เช่น วิตามินซี ไนอาซินาไมด์ หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีเมลานิน รวมทั้งมีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ความเข้มข้นต่ำ ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้น และช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น
เซรั่มลดฝ้า : Dr. V Square Melaris Serum
หลังจากทำความสะอาดผิวแล้ว ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น เซรั่มลดฝ้า ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้รอยฝ้าดูจางลง พร้อมทั้งบำรุงผิวให้กระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เมราลิส เซรั่ม
Dr. V Square Melaris Serum

เซรั่มลดเลือนรอยกระ ฝ้า Dr. V Square Melaris Serum ใช้เทคโนโลยี Niosomal ที่มีส่วนช่วยนำส่งสารสกัดให้รวมตัวกันเข้าผิวขนาดนาโนเมตร จึงซึมลึกได้มากกว่าปกติ 332% ปราศจากสาร Hydroquinone และ Steroid จึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
มีส่วนผสมสำคัญอย่าง Tranexamic Acid, Arbutin, Niacinamide, Glutathione, Ascorbic, Botanical, Whitening Cocktails ที่ช่วยลดเลือนรอยฝ้า กระ ให้จางลงตั้งแต่ขวดแรกที่ใช้ เริ่มเห็นผลใน 7-14 วัน มาพร้อมสารสกัดจากส้ม Mandarin ญี่ปุ่น ที่ทำให้เซลล์ผิวเรียบเนียน แข็งแรง
อ่านบทควมเพิ่มเติม : หน้าเป็นฝ้า ใช้อะไรดี ? ให้ผิวใส ลดรอยฝ้า กระ จางลงไวขึ้น
ครีมบำรุงผิวชุ่มชื้น : Dr. V Square Hya-Boost Cream
การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่ช่วยเสริมให้การรักษาฝ้าเห็นผลชัดขึ้น เพราะผิวที่แข็งแรงและไม่แห้งขาดน้ำ จะทำให้สารบำรุงต่าง ๆ ซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการระคายเคืองที่อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
ไฮยา บูสท์ ครีม
Dr. V Square Hya-Boost Cream

ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ผลิตจากพืช สูตรอ่อนโยน Dr. V Square Hya-Boost Cream ช่วยฟื้นฟูผิวเป็นกระแดดให้แข็งแรง รักษาความชุ่มชื้นในผิวได้ยาวนานต่อเนื่อง 72 ชั่วโมง พร้อมป้องกันอาการอักเสบของผิวหนังจากโรคภูมิแพ้ได้ถึง 76.5% ประกอบไปด้วยสารสกัดพืช 7 ชนิด สูตรเฉพาะจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ช่วยลดอาการอักเสบและระคายเคืองในระดับเซลล์ผิว
ทาครีมกันแดด : Dr. V Square Soft Cleansing Mousse
การปกป้องผิวจากแสงแดดถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในวิธีรักษาฝ้า เพราะรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นและรักษายากขึ้น การทาครีมกันแดดทุกวันจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม
ซอฟต์ คลีนซิ่ง มูส
Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

ครีมกันแดดทาหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 PA+++ เป็น Hybrid Sunscreen ปกป้องผิวจากรังสี UVB-UVA2-UVA1-Visible Light Infrared และ Blue Light อย่างครอบคลุมด้วย 3 กระบวนการ (Reflectiom, Scattering, Absorption) อ่อนโยน เหมาะกับทุกสภาพผิว เนื้อครีมบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวหรือทิ้งคราบขาว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ปกป้องผิวยาวนานตลอดวัน
รักษาฝ้า หายถาวรไหม ?
ฝ้าสามารถรักษาให้จางลงได้ แต่ไม่หายขาด 100% เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งพันธุกรรม ฮอร์โมน ความไวต่อรังสี UV รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลตัวเอง
แม้จะรักษาจนฝ้าดูจางลงหรือแทบไม่เห็นแล้ว ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้เสมอ หากไม่ได้ป้องกันแสงแดดอย่างจริงจัง หรือปล่อยให้ผิวขาดการบำรุงที่เหมาะสม
ดังนั้น วิธีรักษาฝ้าให้ได้ผลดีและคงผลลัพธ์ได้ยาวนาน ควรทำควบคู่กันทั้ง
- การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี
- การทำหัตถการทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ เมโส หรือสกินบูสเตอร์ ตามคำแนะนำของแพทย์
- การปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงแดดจัด และพักผ่อนให้เพียงพอ
การดูแลตัวเองเพื่อลดฝ้าและป้องกันไม่ให้กลับมา
นอกจากการทำหัตถการทางการแพทย์ การดูแลผิวด้วยตัวเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยควบคุมไม่ให้ฝ้าที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น และช่วยเสริมให้การรักษาเห็นผลชัดเจนยิ่งขึ้น โดยควรดูแลตัวเองดังนี้
- ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แม้อยู่ในบ้านหรือทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ เพราะรังสี UVA/UVB และแสงสีฟ้าจากหน้าจอสามารถกระตุ้นการเกิดฝ้าได้
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดและความร้อนสูง เช่น เตาไฟ ซาวน่า ไดร์เป่าผมใกล้หน้า เพราะความร้อนสามารถกระตุ้นให้เม็ดสีทำงานมากขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด เนื่องจากฮอร์โมนความเครียดมีผลต่อการกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
- รับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ส้ม เบอร์รี มะเขือเทศ เพื่อช่วยเสริมการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ
- เลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม กรดผลไม้เข้มข้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและสมดุลของผิว
- ตรวจสุขภาพและฮอร์โมนตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้หญิงวัย 30+ ที่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นฝ้าได้
Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีรักษาฝ้า
ฝ้ากับกระต่างกันอย่างไร ?
ฝ้าเป็นปื้น กระเป็นจุดเล็ก ๆ ทั้งสองอย่างแม้จะเกี่ยวข้องกับเม็ดสีเหมือนกัน แต่สาเหตุและลักษณะต่างกัน ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร ? รู้ลักษณะ สาเหตุ วิธีรักษาให้จางลง อ่านเพิ่มเติมได้ครับ
ฝ้ากับรอยดำสิวต่างกันไหม ?
รอยดำสิวเกิดจากการอักเสบของสิว ทำให้ผิวสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นและมักจางลงได้เองใน 3-6 เดือนหากดูแลผิวและทากันแดดสม่ำเสมอ ส่วนฝ้าเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีร่วมกับปัจจัยเรื้อรัง เช่น แสงแดดและฮอร์โมน จึงรักษายากกว่าและมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ดังนั้นรอยดำสิวมีโอกาสหาย แต่ฝ้าต้องดูแลต่อเนื่อง
เลเซอร์รักษาฝ้าเจ็บไหม ?
การทำเลเซอร์รักษาฝ้าโดยทั่วไปไม่เจ็บมาก จะรู้สึกอุ่น ๆ หรือจี๊ดเล็กน้อย แพทย์จะทายาชาก่อนเพื่อให้สบายผิวขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีเลเซอร์รุ่นใหม่ เช่น Pico Laser ยังปรับพลังงานให้เหมาะกับผิว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บและลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงอย่างรอยแดงหรือผิวไหม้ได้
ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่ ?
คำตอบคือ มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ เนื่องจากฝ้าเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ฮอร์โมน และความไวของผิวต่อแสงแดด ต่อให้รักษาจนจางลงแล้ว หากไม่ได้ดูแลต่อเนื่อง ก็สามารถกลับมาเข้มขึ้นอีกได้
สิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมา คือ
- ทาครีมกันแดดทุกวัน
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อนสูง
- เลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อการระคายเคือง
- เข้ารับการรักษาและติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
แม้ฝ้าจะรักษาให้จางลงได้ แต่การดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำครับ
สรุป วิธีรักษาฝ้า เห็นผลเร่งด่วน เผยผิวหน้าใส
การรักษาฝ้าให้เห็นผลชัดเจนและเร่งด่วน ควรดูแลผิวอย่างต่อเนื่องทั้งที่บ้านและร่วมกับวิธีทางการแพทย์ โดยเริ่มจากการล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ใช้เซรั่มลดฝ้า ควบคู่กับครีมบำรุงผิวที่ช่วยเสริมเกราะป้องกัน
และที่สำคัญคือทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น พร้อมเสริมด้วยหัตถการ เช่น เลเซอร์รักษาฝ้า การฉีดเมโสฝ้า หรือการทำ Skin Booster ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส เมื่อผสานการดูแลทั้งสองทางอย่างเหมาะสม จะช่วยให้รอยฝ้าจางลง เผยผิวหน้าใสได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

 
								


 
				 
				 
				