ฝ้า กระ

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า กระ

หน้าเป็นฝ้า กระ เป็นปัญหาผิวที่หลายคนกังวล เพราะทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ ดูหมองคล้ำ และรักษาได้ยาก หลายคนสงสัยว่า ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร ? เกิดจากอะไร ? และสามารถรักษาได้ด้วยตัวเองหรือไม่?

ในบทความนี้ Dr. V Square จะพาไปรู้จักกับ ลักษณะของฝ้า กระ สาเหตุ วิธีรักษาเพื่อช่วยให้รอยฝ้า กระ จางลง พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาผิวกวนใจนี้ให้มากขึ้น และเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดกันครับ

คลิกอ่านหัวข้อ ฝ้า กระ


ฝ้า กระ มีลักษณะอย่างไร ?

  • ฝ้า (Melasma) : เป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็น รอยปื้น ที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า มีสีตั้งแต่น้ำตาลอ่อน เทา ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มักเกิดบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และคาง ผิวของฝ้ามักเรียบเนียน ไม่เป็นตุ่มนูน และสีของฝ้าอาจเข้มหรือจางได้ลงตามการดูแลผิว
  • กระ (Freckles) : เป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มหรือดำ กระจายตัวเป็นจุดแยกกัน ไม่รวมเป็นปื้นเหมือนฝ้า มักเกิดบริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น ใบหน้า หน้าแก้ม ดั้งจมูก และลำคอ ซึ่งสีของกระอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามปริมาณแสงแดดที่ได้รับ
ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร

สาเหตุ ฝ้า กระ เกิดจากอะไร ?

ฝ้า กระ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งทำให้หน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า กระ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว การใช้ชีวิต และปัจจัยแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งสามารถทำให้ฝ้า กระ เกิดขึ้นหรือรุนแรงขึ้นได้ ดังนี้ครับ

ฝ้า กระ เกิดจาก

ฝ้า เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดรอยปื้นบนผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย ซึ่งปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า ได้แก่

  • แสงแดด : รังสียูวีจากแสงแดดกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น
  • ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการรักษาด้วยฮอร์โมน มีผลต่อการกระตุ้นเม็ดสี
  • พันธุกรรม : ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้ามีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด : ยาบางประเภท เช่น ยารักษาสิวหรือยาฮอร์โมน อาจทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดฝ้าได้ง่าย

กระ เกิดจากการสะสมของเม็ดสีใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นจุดสีน้ำตาลหรือดำเล็ก ๆ บนผิว ส่วนใหญ่มักเกิดในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดกระ ได้แก่

  • แสงแดด : เป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดกระ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ปกป้องผิวจากแสงแดดมีแนวโน้มเกิดกระได้ง่ายกว่าคนที่ดูแลผิวอย่างดี
  • พันธุกรรม : กระมักเกิดในครอบครัวที่มีประวัติเป็นกระ หากพ่อแม่มีจุดกระบนผิว ลูกก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นกระเช่นกัน
  • อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเม็ดสีในร่างกายทำงานผิดปกติได้ง่ายขึ้น ทำให้เม็ดสีสะสมมากขึ้น และกระอาจเข้มขึ้นตามวัย

ฝ้า กระ มีกี่ประเภท ?

ฝ้า กระ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ตามลักษณะและสาเหตุของการเกิด ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ดังนี้

ประเภทฝ้า

  • ฝ้าตื้น
ฝ้าตื้น

ฝ้าตื้น (Epidermal type) เป็นฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาล ขอบเขตชัดเจน มักพบบริเวณที่โดนแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก

ฝ้าตื้นสามารถรักษาได้ง่ายกว่าฝ้าประเภทอื่น เพราะอยู่ในชั้นผิวหนังด้านนอก การใช้ครีมบำรุงผิว ครีมลดเม็ดสี และการทำเลเซอร์สามารถช่วยให้ฝ้าจางลงได้

  • ฝ้าเลือด
ฝ้าเลือด

ฝ้าเลือด (Vascular Melasma หรือ Telangiectetic Melasma) เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือความเครียด ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวขยายตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าดูแดงง่ายเมื่อสัมผัสความร้อนหรือแสงแดด

ลักษณะของฝ้าเลือดจะเป็นปื้นสีแดงหรือน้ำตาลแดง มักรักษาได้ยาก ต้องใช้การดูแลเฉพาะทาง เช่น เลเซอร์ที่ช่วยลดเส้นเลือดฝอยใต้ผิว

  • ฝ้าลึก
ฝ้าลึก

ฝ้าลึก (Dermal type) เกิดในชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นปื้นสีออกน้ำตาลอมฟ้าหรืออมม่วง ขอบเขตไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในชั้นผิวที่ลึกกว่าฝ้าตื้น จึงรักษาได้ยากกว่า การใช้ครีมบำรุงทั่วไปอาจไม่ได้ผลดีนัก มักต้องใช้วิธีรักษาเช่น เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ที่ช่วยลดเม็ดสีใต้ผิว

  • ฝ้าแดด
ฝ้าแดด
รังสี UV ทำร้ายผิว เป็นฝ้าแดด

ฝ้าแดด เกิดจากการสัมผัสรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดเป็นเวลานาน รวมถึงแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือดำ พบได้บ่อยบริเวณที่โดนแสงแดด เช่น ใบหน้าและลำคอ ฝ้าแดดสามารถป้องกันได้โดยการใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง

คลิกอ่านบทความแนะนำ

ประเภทกระ

  • กระตื้น
กระตื้น

กระตื้น เป็นจุดสีน้ำตาลอ่อนขนาดเล็ก มักกระจายตัวทั่วใบหน้า โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวขาว กระชนิดนี้เกิดจากแสงแดดเป็นหลัก และจะเข้มขึ้นเมื่อได้รับรังสียูวีเป็นเวลานาน กระตื้นสามารถจางลงได้เองหากหลีกเลี่ยงแสงแดด หรืออาจใช้ครีมลดเม็ดสีและเลเซอร์ช่วยรักษา

  • กระลึก
กระลึก

กระลึก มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ขนาดใหญ่กว่ากระตื้น และฝังลึกลงไปในชั้นหนังแท้ มักเกิดจากพันธุกรรม และพบบ่อยในคนเอเชีย กระลึกไม่จางลงเองเหมือนกระตื้น และมักต้องใช้เลเซอร์หรือการรักษาเฉพาะทางเพื่อลดเลือน

  • กระเนื้อ
กระเนื้อ

กระเนื้อ เป็นตุ่มนูนสีน้ำตาลหรือดำ ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ไม่ใช่เม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ กระเนื้อไม่ได้เกิดจากแสงแดดโดยตรง และไม่สามารถรักษาด้วยครีมทั่วไป แต่สามารถจี้ออกหรือทำเลเซอร์เพื่อกำจัดออกได้

  • กระแดด
กระแดด
รังสียูวีหน้า ทำให้หน้าเป็นกระแดด

กระแดด เป็นจุดสีน้ำตาลที่เกิดจากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน พบได้ในผู้ที่ต้องออกแดดเป็นประจำ เช่น เกษตรกร หรือผู้ที่ไม่ป้องกันผิวจากรังสียูวี หากไม่ได้รับการดูแล อาจทำให้จุดกระเข้มขึ้นและพัฒนาเป็นภาวะผิวหนังเสื่อม หรือในบางกรณีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังได้

คลิกอ่านบทความแนะนำ


ฝ้า กระ เกิดขึ้นบริเวณใดบ้าง ?

ฝ้า กระ มักเกิดในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย เนื่องจากรังสียูวีสามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้เกิดรอยคล้ำและจุดด่างดำ โดยเฉพาะในส่วนที่ไม่มีการปกป้องที่ดีพอ ดังนี้

จุดที่มักเกิดฝ้า กระ
  • ฝ้า กระ บริเวณโหนกแก้ม – เป็นจุดที่โดนแสงแดดโดยตรง ทำให้ฝ้า กระ เกิดขึ้นได้ง่าย
  • ฝ้า กระ บริเวณหน้าผาก – มีโอกาสเกิดฝ้าแดดและกระแดด เนื่องจากเป็นบริเวณที่กว้างและสัมผัสแสงตลอดเวลา
  • ฝ้า กระ บริเวณจมูก – จุดที่กระแดดมักเกิดขึ้น เนื่องจากแสงแดดกระทบโดยตรง
  • ฝ้า กระ บริเวณเหนือริมฝีปาก – ฝ้าบริเวณนี้มักเกิดจากฮอร์โมนร่วมกับแสงแดด
  • ฝ้า กระ บริเวณลำคอและไหล่ – กระแดดและกระเนื้อสามารถพบได้ในบริเวณนี้ โดยเฉพาะในผู้ที่ออกแดดเป็นประจำ
  • ฝ้า กระ บริเวณแขนและหลังมือ – เป็นจุดที่กระแดดพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากขึ้น

วิธีรักษาเมื่อหน้าเป็นฝ้า กระ ทำอย่างไร ?

การรักษาฝ้า กระ มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความลึกและความรุนแรงของเม็ดสีในผิว หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาหน้าโทรม ผิวไม่สดใส และส่งผลต่อความมั่นใจในระยะยาว

ซึ่งสามารถแบ่งวิธีรักษาเมื่อหน้าเป็นฝ้า กระ ออกเป็นวิธีหลัก ๆ ได้ดังนี้ครับ

การใช้ครีมกันแดด รักษาฝ้า กระ

การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ และ PA 3+ ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน ทั้งผิวหน้าและผิวกาย แม้ในวันที่อยู่บ้าน ก็ช่วยคงความกระจ่างใส ลดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ทำให้ฝ้า กระปรากฏชัดเจนขึ้น และยังช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดดได้ในระยะยาว

ยูวี เอ-บี-ซี ซันสกรีน ครีม
Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream

ครีมกันแดด ลดฝ้า กระ

ครีมกันแดดทาหน้า Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream SPF 40 PA+++ ปกป้องผิวจาก UVA, UVB, UVC, Blue light และ Infrared ที่เป็นสาเหตุของ ฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยก่อนวัย ด้วยสารกันแดดนำเข้าจากเยอรมันที่มีความคงตัวสูง เนื้อครีมบางเบา ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย

เสริมการบำรุงด้วย Soothing Cooling จากเกาหลี ช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแสบแดงจากแดด พร้อมให้ความรู้สึกเย็นสบายระหว่างวัน ใช้ได้ทุกวันเพื่อ ป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำ และดูแลผิวให้กระจ่างใสยาวนาน แม้อยู่ในบ้านก็ยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้เซรั่ม รักษาฝ้า กระ

ใช้เซรั่มที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินเป็นวิธีที่ช่วยให้ฝ้า กระ จางลงอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสำคัญ เช่น Retinol, Arbutin, Vitamin C, Licorice Extract, N-Acetyl Glucosamine (NAG), Niacinamide รวมถึงสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA, BHA, LHA และ PHA เพื่อช่วยปรับสีผิวให้เรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น

เมราลิส เซรั่ม
Dr. V Square Melaris Serum

เซรั่มลดฝ้า กระ

เซรั่มลดเลือน ฝ้า กระ จุดด่างดำ Dr. V Square Melaris Serum ด้วยเทคโนโลยี Niosomal ที่ช่วยนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวในระดับนาโนเมตร ซึมลึกกว่าปกติถึง 332% ปราศจาก Hydroquinone และ Steroid อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

อุดมด้วย Tranexamic Acid, Arbutin, Niacinamide, Glutathione และ Ascorbic ที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ ให้จางลงตั้งแต่ขวดแรกที่ใช้ เริ่มเห็นผลใน 7-14 วัน พร้อมสารสกัดจากส้ม Mandarin ญี่ปุ่น ที่ช่วยให้เซลล์ผิวเรียบเนียน แข็งแรง และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

การรักษาฝ้า กระ ด้วยเลเซอร์

การทำเลเซอร์แก้ฝ้า กระ เป็นวิธีที่ใช้พลังงานความร้อนเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดเลือนฝ้าและทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังทำผิวอาจบางลงและไวต่อแสงมากขึ้น ควรใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดหลังทำเลเซอร์

เลเซอร์รักษาฝ้า กระ

ประเภทของเลเซอร์ที่ใช้รักษาฝ้า กระ

  • Q-Switched Nd:YAG Laser – ใช้พลังงานแสงเลเซอร์ทำลายเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังโดยตรง ช่วยแก้ฝ้า กระ จางลง พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • Fractional Laser – กระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดการผลัดตัวและสร้างผิวใหม่ ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • IPL (Intense Pulsed Light) – ใช้แสงพลังงานสูงเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน ช่วยลดรอยฝ้า กระ และทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

การทำทรีตเมนต์และผลัดเซลล์ผิว

การทำทรีตเมนต์และผลัดเซลล์ผิวช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลงเร็วขึ้น พร้อมฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสขึ้นครับ โดยวิธีที่นิยม ได้แก่

ทรีตเมนต์รักษาฝ้า กระ
  • ฉีดเมโสฝ้า (Mesotherapy) – เป็นการฉีดวิตามิน กรดอะมิโน และแร่ธาตุเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ฝ้า กระ และจุดด่างดำจางลง เห็นผลเร็วขึ้น 20-50% เมื่อเทียบกับการใช้ครีม
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) – ใช้กรดอ่อน ๆ เช่น AHA หรือ TCA ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ลดเลือนฝ้า กระ และทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น ควรทำโดยแพทย์ประสบการณ์สูงเพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคือง

รักษาฝ้ากระด้วยตัวเอง ทำได้ไหม ?

หลายคนที่มีปัญหาฝ้า กระ มักสงสัยว่าสามารถรักษาฝ้า กระ ด้วยตัวเองได้หรือไม่ คำตอบคือ สามารถทำได้ในระดับหนึ่งครับ โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ้า กระ ยังไม่ลึกหรือรุนแรงมาก แต่อาจต้องใช้เวลาและต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดูแลผิว


วิธีดูแลตัวเองป้องกันการเกิดฝ้า กระ บริเวณผิว

  • ใช้ครีมบำรุงหรือเซรั่ม ที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ
ใช้ครีมฝ้า กระ
ทาครีมแก้ฝ้า กระ

การเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ เรตินอล (Retinol), อาร์บูติน (Arbutin), วิตามินซี (Vitamin C), สารสกัดจากชะเอมเทศ (Licorice Extract), เอ็น-อะเซทิล กลูโคซามีน (N-Acetyl Glucosamine – NAG), ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) รวมถึงสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA, BHA, LHA และ PHA

สามารถช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและทำให้ฝ้ากระจางลงได้ ควรทาเป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

ส่วนผสมสกินแคร์ ลดฝ้า กระ
ส่วนผสมในสกินแคร์ ที่ช่วยลดฝ้า กระ

อย่างไรก็ตาม ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและไม่มีสารอันตราย เช่น สารปรอทหรือสเตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด

  • ทาครีมกันแดดทุกวัน
ทาครีมกันแดดลดฝ้า กระ
ทาครีมกันแดด แก้ฝ้า กระ

ครีมกันแดดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่มีฝ้า กระ เพราะรังสียูวีเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เม็ดสีเข้มขึ้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ ขึ้นไป และสามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการทากันแดดที่ถูกต้อง ควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และหากต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด

วิธีทากันแดดที่ถูกต้อง
วิธีทากันแดดที่ถูกต้อง ป้องกันฝ้า กระ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง
เลี่ยงแดดลดฝ้า กระ

การป้องกันแสงแดดเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า กระ ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วง 10.00 – 16.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่รังสียูวีเข้มข้นที่สุด

หากจำเป็นต้องออกกลางแจ้ง ควรสวมหมวกปีกกว้าง ใส่เสื้อแขนยาว หรือใช้ร่มเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง การป้องกันแสงแดดอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความรุนแรงของฝ้า กระ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • บำรุงผิวด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ
สมุนไพรลดฝ้า กระ

การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติสามารถช่วยลดกระ ฝ้าได้ในระดับหนึ่ง เช่น ว่านหางจระเข้ ที่ช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยดำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง มีกรดอ่อน ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าออก แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันการระคายเคือง

นอกจากนี้ โยเกิร์ตและขมิ้น ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ อย่างไรก็ตาม การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และควรทดสอบกับผิวก่อนใช้จริงเพื่อลดความเสี่ยงในการแพ้

  • ดูแลสุขภาพจากภายใน
อาหารลดฝ้า กระ

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดเลือนฝ้า กระได้ ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืช ซึ่งช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและลดการอักเสบของผิวหนัง

นอกจากนี้ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสขึ้น รวมถึงควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดอาจกระตุ้นให้ฝ้า กระ เข้มขึ้น ทำให้หน้าโทรม หน้าหมองคล้ำได้ครับ


ฝ้า และ กระ เกิดกับคนมีอายุเท่านั้นหรือไม่ ?

ฝ้า กระ ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนมีอายุ แต่สามารถเกิดได้กับทุกวัยครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน กรรมพันธุ์ และการดูแลผิว

โดย ฝ้า มักพบบ่อยในวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ส่วน กระ สามารถเกิดได้ตั้งแต่วัยรุ่น โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวขาวหรือโดนแดดเป็นประจำ

ดังนั้น การป้องกันการเกิดฝ้า กระ ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นสิ่งสำคัญครับ


ผิวเกิดฝ้า กระ รักษานานไหม กว่าจะเห็นผล ?

หากรักษาฝ้า กระ ด้วย เมโสฝ้า, เลเซอร์ หรือการลอกผิว จะเริ่มเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนการใช้สกินแคร์บำรุงผิว อาจใช้เวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์ เพราะเป็นการฟื้นฟูผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ การรักษาฝ้า กระ ควรทำอย่างต่อเนื่อง และป้องกันไม่ให้กลับมาเข้มขึ้น ด้วยการทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดด และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเม็ดสี เพื่อให้ผิวกระจ่างใสยาวนานครับ


ฝ้า กระ รักษาให้หายขาดได้ไหม ?

ฝ้า กระ สามารถจางลงได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสมครับ แต่ไม่สามารถหายขาด 100% เนื่องจากมีโอกาสกลับมาอีกหากยังสัมผัสกับแสงแดดหรือปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ

ดังนั้น การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดดแรง ๆ และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้า กระซ้ำครับ


สรุป ฝ้า กระ ป้องกันได้ก่อนสายเกินไป

ฝ้า กระ เป็นปัญหาผิวที่สามารถป้องกันได้หากมีการดูแลผิวที่ถูกต้อง เช่น ทาครีมกันแดดทุกวัน, หลีกเลี่ยงแสงแดด และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเม็ดสีผิว

แต่หากเกิดฝ้า กระ แล้ว ควรเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสม ทั้งแบบธรรมชาติ การใช้ครีมกันแดด เซรั่ม หรือการทำเลเซอร์ เพื่อให้ผิวกลับมาเนียนใสอีกครั้ง

อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่: 25 มีนาคม 2568

Share: