ไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครับ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ เซรัม ลิป หรือแชมพู ด้วยจุดเด่นที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิว นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ทั้งรูปแบบอาหารเสริม และหัตถการความงาม เช่น ฟิลเลอร์ เมโสหน้าใส อีกด้วย

ในบทความนี้ หมอจะพาไปทำความรู้จักกับไฮยาลูรอนให้มากขึ้น ว่าใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง ? พร้อมแนะนำวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนให้เหมาะกับสภาพผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น

คลิกอ่านหัวข้อ ไฮยาลูรอน


ไฮยาลูรอน คืออะไร ?

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid หรือ HA) คือ ส่วนประกอบของโครงสร้างผิวตามธรรมชาติ ทำหน้าที่กักเก็บและรักษาความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน สุขภาพดี และช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมผิวเกิดขึ้นอย่างสมดุลครับ

ไฮยาลูรอน คือ
ไฮยาลูรอนในโครงสร้างชั้นผิว

โดยทั่วไป ไฮยาลูรอนสามารถพบได้จาก 2 แหล่งหลัก คือ

  • ไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง : ร่างกายของเราสามารถสร้างไฮยาลูรอนขึ้นได้ตามธรรมชาติ พบมากในผิวหนัง ข้อต่อ และดวงตา แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะสร้างได้น้อยลง ทำให้ผิวแห้ง หยาบ และเกิดริ้วรอยง่ายขึ้นครับ
  • ไฮยาลูรอนที่สังเคราะห์ขึ้น : ประเภทนี้สกัดได้จากแบคทีเรีย หรือพืชบางชนิด นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สกินแคร์ เซรัม หรือหัตถการทางการแพทย์ เช่น ฟิลเลอร์ เมโสหน้าใส

ไฮยาลูรอน ต่างจากคอลลาเจนอย่างไร ?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ไฮยาลูรอน กับ คอลลาเจน เป็นสารชนิดเดียวกัน เพราะทั้งคู่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์ครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองทำงานในผิวต่างกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น หมอสรุปเป็นตารางแบบนี้

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid)คอลลาเจน (Collagen)
หน้าที่หลักกักเก็บน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเสริมความแข็งแรง ยืดหยุ่น และลดความหย่อนคล้อย
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น สุขภาพดีผิวแน่นขึ้น กระชับ ริ้วรอยจางลง
พบได้ที่ไหนชั้นผิวหนังแท้ และระหว่างเซลล์ผิวชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
เหมาะกับใครผิวแห้ง ขาดน้ำ แพ้ง่ายผิวเริ่มมีริ้วรอย หย่อนคล้อย
ผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้เซรัม มอยส์เจอไรเซอร์ ลิปบาล์ม แชมพูอาหารเสริม ครีมลดริ้วรอย หรือคอลลาเจนดริงก์

สรุปสั้น ๆ:

  • ไฮยาลูรอน = เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำ
  • คอลลาเจน = เสริมความยืดหยุ่นให้ผิวกระชับ

ไฮยาลูรอนทำงานอย่างไรกับผิว ?

ไฮยาลูรอนทำหน้าที่คล้ายฟองน้ำของผิวครับ คือ ช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำไว้ในเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โมเลกุลของไฮยาลูรอนสามารถอุ้มน้ำได้มากกว่าน้ำหนักตัวถึง 1,000 เท่า ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้นทันทีที่ได้รับความชุ่มชื้นเพียงพอ

นอกจากนี้ ไฮยาลูรอนยังช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสเกิดการอักเสบ แพ้ง่าย หรือระคายเคืองจากแสงแดด มลภาวะและสารเคมี อีกทั้งยังช่วยให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนานกว่าเดิม จึงถือเป็นส่วนผสมสำคัญที่ช่วยให้ผิวกลับมาสมดุล ดูสุขภาพดีจากภายในครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : รู้จัก! รังสี UV ในแสงแดด ตัวการสำคัญ ทำร้ายผิว


ประโยชน์ของไฮยาลูรอนต่อผิว

การใช้สกินแคร์ไฮยาลูรอนไม่ได้ช่วยแค่เติมน้ำให้ผิว แต่ยังช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นจากภายในในหลายด้าน เช่น

  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ดูอิ่มน้ำ นุ่มเด้ง ลดความแห้งตึง แก้ปัญหาผิวหน้าโทรม
  • ลดเลือนริ้วรอยตื้น ๆ ปรับผิวให้เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์
  • เสริมเกราะป้องกันผิว ป้องกันการสูญเสียน้ำ เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวง่าย
  • ช่วยฟื้นฟูผิวหลังการทำหัตถการ เช่น เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ต่าง ๆ เพราะไฮยาลูรอนช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็ว ลดการระคายเคือง และให้ความรู้สึกเย็นสบาย
  • ปรับสมดุลให้ผิว ลดความแห้งกร้านและความมันส่วนเกิน ที่เป็นสาเหตุของสิว

ไฮยาลูรอนใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

ประโยชน์ของไฮยาลูรอน
ประโยชน์ของไฮยาลูรอน

ไฮยาลูรอนไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะเรื่องผิวพรรณเท่านั้นครับ แต่ยังสามารถใช้ในด้านการแพทย์ เช่น การปรับรูปหน้า การรักษาข้อเข่า หรือระหว่างการผ่าตัด รายละเอียด ดังนี้

  • ฟิลเลอร์ (Filler) ใช้ฉีดเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปหน้า และเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น เติมร่องแก้ม เติมร่องใต้ตา เสริมคาง หรือเพิ่มความอวบอิ่มริมฝีปาก
  • การบำรุงผิว (Skincare) เป็นส่วนผสมหลักในเซรัมและครีมบำรุง ช่วยเติมน้ำให้ผิวและคงความชุ่มชื้นได้ยาวนาน
  • การรักษาข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ใช้ฉีดเข้าข้อต่อ เช่น ข้อเข่า เพื่อเพิ่มความหล่อลื่น ลดอาการปวดและการเสียดสีภายในข้อ
  • การรักษาดวงตา (Ophthalmology) ใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำตาเทียม ยาหยอดตา และสารหล่อลื่นระหว่างผ่าตัดดวงตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดอาการระคายเคือง
  • การรักษาบาดแผล (Wound Healing) ช่วยเร่งกระบวนการสมานแผล ลดการอักเสบ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Tissue Repair) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในผิว รวมถึงการฟื้นฟูเนื้อเยื่อในร่างกายที่สึกหรอ

บำรุงผิวพรรณให้สุขภาพดี รับสารไฮยาลูรอนจากไหนได้บ้าง ?

ไฮยาลูรอนเป็นสารที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ครับ แต่จะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น ดังนั้นการเติมไฮยาลูรอนให้ผิวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากการทา กิน หรือฉีด จึงช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้นและแข็งแรงได้อีกครั้ง

ทาสกินแคร์และเซรัมที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน

การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนเป็นวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยมที่สุด เพราะช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้งหรือแพ้ง่าย

ปัจจุบันมีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้งเซรัม ครีม เนื้อเจล น้ำตบ หรือลิปบาล์ม ใช้ได้ทุกวันเพื่อให้ผิวดูอิ่มน้ำ สุขภาพดีครับ

แนะนำไฮยา บูสท์ ครีม
Dr. V Square Hya-Boost Cream

เซรัมไฮยาลูรอน Dr. V Square Hya-Boost Cream

Dr. V Square Hya-Boost Cream ครีมบำรุงผิวหน้าเพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและชุ่มชื้นยาวนาน ด้วยสารสกัดจากพืชธรรมชาติ 7 ชนิด สูตรเฉพาะจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านการทดสอบความอ่อนโยนจากประเทศเกาหลี ช่วยลดการอักเสบและการระคายเคือง

เนื้อครีมบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ปราศจากสเตียรอยด์และน้ำหอม ใช้ปริมาณเพียงเมล็ดถั่วก็สามารถมอบความชุ่มชื้นยาวนานถึง 72 ชั่วโมง พร้อมลดการอักเสบจากภูมิแพ้ผิวหนังได้ถึง 76.5% โดย Dr.V Square พัฒนาสูตรให้เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย ใช้ได้ทุกวันเช้า-เย็นอย่างปลอดภัย

กินอาหารที่ส่งเสริมการสร้างไฮยาลูรอน

การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารจำเป็นช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Hyaluronic Acid ได้เองมากขึ้น สามารถช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพผิวและโครงสร้างผิวโดยรวม

  • ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม
  • ผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง เช่น ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ HA
  • ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่ว ซึ่งมีไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ช่วยให้ผิวคงความยืดหยุ่น
กินอาหารเสริมการสร้างไฮยาลูรอน
ผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน

กินอาหารเสริมไฮยาลูรอน

อาหารเสริมที่มีไฮยาลูรอน มักผสมร่วมกับสารสกัดอื่น ๆ เช่น คอลลาเจน หรือวิตามินซี เพื่อช่วยบำรุงผิว และข้อต่อครับ

ทั้งนี้ในทางการแพทย์จะมีไฮยาลูรอนรูปแบบกิน ที่ใช้ลดอาการปวดในกลุ่มผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โดยรับประทานประมาณวันละ 80-200 มิลลิกรัม ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นครับ

ฉีดไฮยาลูรอนเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง

ในทางการแพทย์ มีหัตถการหลายตัวที่มีส่วนประกอบหลักเป็นไฮยาลูรอนครับ นิยมฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวโดยตรง เช่น

  • ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว : สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอน นิยมใช้ยี่ห้อ/รุ่น ที่โมเลกุลเล็ก เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ช่วยเติมหลุมสิว ริ้วรอยตื้น ๆ หรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวโดยตรง เหมาะกับผู้ที่ต้องการผิวเรียบเนียน อิ่มน้ำ Glass Skin
  • เมโสหน้าใส : การฉีดวิตามิน และสารสำคัญเข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง ยี่ห้อที่มีส่วนประกอบหลักเป็น HA จะมี Filorga และ REVS เด่นในเรื่องการฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น เพิ่มความกระจ่างใส ให้สุขภาพดี
  • Profhilo : ใช้ไฮยาลูรอนรูปแบบพิเศษ HCC (Hybrid Cooperative Complex) เพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างของผิวหนัง ให้ผิวมีคอลลาเจน อิ่มฟู กระชับ และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ไฮยาลูรอน
ตัวอย่างยี่ห้อสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนที่นำมาฉีดฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว

เลือกไฮยาลูรอนแบบไหนดีที่สุด ?

ทุกวิธีล้วนมีข้อดีที่แตกต่างกันครับ สามารถใช้ควบคู่กันเพื่อเสริมประสิทธิภาพได้ เช่น แบบทาช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวทุกวัน แบบรับประทานช่วยเสริมการสร้างจากภายใน ส่วนแบบฉีดเหมาะกับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว

สิ่งที่ควรให้ความสำคัญอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ต้องได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ ทั้งสกินแคร์และอาหารเสริม ส่วนผู้ที่สนใจหัตถการ เช่น ฟิลเลอร์ปรับสภาพผิว เมโสหน้าใส หรือ Profhilo ควรเข้ารับการประเมินสภาพผิวกับแพทย์โดยตรง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย


วิธีเลือกครีมหรือเซรัมไฮยาให้เหมาะกับผิว เพื่อการบำรุงผิวในทุกวัน

การเลือกครีมหรือเซรัมไฮยาลูรอนให้เหมาะกับผิว ควรดูที่เนื้อสัมผัสและส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ครับ

  • ผิวมัน : ผู้ที่ผิวมันหรือเป็นสิวง่าย เหมาะกับเนื้อบางเบาแบบเจลที่ซึมไวและไม่อุดตัน
  • ผิวแห้ง : ผู้ที่ผิวแห้งควรเลือกสูตรที่มีมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น หรือเนื้อครีม เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้อยู่ได้นานขึ้น
  • ผิวแพ้ง่าย : ผู้ที่ผิวบอบบางเป็นพิเศษ มีปัญหาผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงครีมไฮยาลูรอน ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือพาราเบน รวมถึงควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้
ทดสอบการแพ้ไฮยาลูรอน
ตัวอย่างวิธีทดสอบการแพ้ครีมกันแดด

เมื่อเลือกสูตรได้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว การใช้ไฮยาลูรอนเป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน และมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหากใช้ควบคู่กับมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยล็อกความชุ่มชื้นในผิว จะช่วยเสริมเกราะปกป้องผิว ลดการอักเสบ และคงความชุ่มชื้นได้นานตลอดวันครับ


ทาครีมหรือเซรัมไฮยาลูรอนตอนไหนดี ?

ไฮยาลูรอนจัดอยู่ในกลุ่มสกินแคร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว จึงสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว และเข้ากับทุกขั้นตอนของการบำรุงผิวในชีวิตประจำวันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า ก่อนแต่งหน้า หรือตอนกลางคืนก่อนนอน

  • บำรุงผิวทั่วไป : ใช้ไฮยาลูรอนได้ทุกวัน เช้า-เย็น เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองผิว แนะนำให้อ่านฉลากควบคู่เพื่อดูคำแนะนำเฉพาะของแต่ละสูตร
  • ใช้ใน Skincare Routine : หากมีหลายผลิตภัณฑ์ในขั้นตอนการบำรุงผิว ให้ลงไฮยาลูรอนตามลำดับเนื้อสัมผัสครับ โดยเริ่มจากเนื้อบางเบา เช่น น้ำตบหรือเซรัมก่อน แล้วค่อยตามด้วยครีมเนื้อเข้มข้น เพื่อช่วยล็อกน้ำในผิวให้คงความชุ่มชื้นได้ยาวนาน
  • ใช้ใน Skin Cycling : สำหรับใครที่ทำ Skin Cycling ไฮยาลูรอนจะเหมาะกับคืนที่ 3 ซึ่งเป็น “วันพักผิว” เพื่อเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเกราะปกป้องผิว และเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการบำรุงในรอบถัดไปครับ
ไฮยาลูรอนลงตอนไหน
ลำดับการลงสกินแคร์จะเริ่มจากเนื้อบางเบาไปหาเนื้อหนัก

อ่านบทความเพิ่มเติม : ลำดับการลงสกินแคร์ เช้า-เย็น ที่เหมาะสม เพื่อผิวสวย สุขภาพดี


ไฮยาลูรอน ใช้กับอะไรได้บ้าง มีข้อห้ามไหม ?

โดยทั่วไป ไฮยาลูรอนไม่มีข้อห้ามใช้เฉพาะเจาะจงครับ สามารถใช้ร่วมกับสกินแคร์แทบทุกชนิดได้อย่างปลอดภัย แต่สิ่งสำคัญคือควรอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดก่อนใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่คนไข้อาจแพ้

ส่วนใหญ่ไฮยาลูรอนจะนิยมนำมาใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว ลดโอกาสเกิดการระคายเคืองตามมา ยกตัวอย่างเช่น

ไฮยาลูรอน ใช้กับ Niacinamide

ไฮยาลูรอน และ Niacinamide เป็นคู่หูยอดนิยมสำหรับผิวขาดน้ำและผิวแห้งครับ โดย Hyaluronic Acid ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว ส่วน Niacinamide เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และทำให้ผิวเนียนนุ่ม ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ดี

วิธีใช้: ใช้ร่วมกันได้ทันที ลง HA ก่อน แล้วตามด้วย Niacinamide หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสองส่วนผสมในตัวเดียวก็ได้ครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : Niacinamide คืออะไร ? ใช้อย่างไรให้เหมาะสม ?

Niacinamide

ไฮยาลูรอน ใช้กับวิตามิน C

วิตามิน C หรือ Ascorbic Acid มีจุดเด่นในการช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส ลดรอยหมองคล้ำ และช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนฝ้า กระ และรอยสิวให้จางลงครับ การใช้ไฮยาลูรอนร่วมกับวิตามิน C ช่วยลดการระคายเคืองจากกรดในวิตามิน C และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและไม่แห้งตึง

วิธีใช้ : ทาวิตามิน C ก่อน เพื่อให้ซึมลึกและออกฤทธิ์ได้เต็มที่ แล้วจึงตามด้วยไฮยาลูรอน หรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสองส่วนผสมในตัวเดียวก็ได้ครับ

แนะนำเซรัมผิวขาวใส ลดฝ้า กระ
Dr. V Square Melaris Serum

เซรัมผิวขาว Dr. V Square Melaris Serum

Dr. V Square Melaris Serum เซรัมผิวขาวใส ลดฝ้า กระ สำหรับผิวแพ้ง่าย ด้วยเทคโนโลยี Niosomal อนุภาคนาโน ที่ซึมลึกได้มากกว่าปกติถึง 332% พร้อมส่วนผสมสำคัญ Niacinamide, Arbutin, Glutathione และ Vitamin C ที่ช่วยลดเลือนรอยดำ ฝ้า กระ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มฟูสุขภาพดี

เนื้อเซรัมอ่อนโยน ปราศจาก Hydroquinone และสเตียรอยด์ เหมาะกับผิวบอบบางหรือทาหลังทำเลเซอร์ พร้อมสารสกัดจากส้มแมนดารินญี่ปุ่น ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระชับ และแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติครับ

ไฮยาลูรอน ใช้กับเรตินอล

เรตินอลสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ และสิวได้ ด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าครับ ในช่วงเริ่มใช้เรตินอลผิวมักจะแห้งหรือลอกได้ ไฮยาลูรอนจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ดี ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้น

วิธีใช้: สามารถใช้ไฮยาลูรอนก่อนหรือหลังเรตินอลก็ได้ โดยทั่วไปนิยมทาใช้ไฮยาลูรอนก่อน ตามด้วยเรตินอล และปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อล็อกความชุ่มชื้นครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : เรตินอล ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อย่างไร ? พร้อมข้อควรระวังในการใช้

Retinol

ไฮยาลูรอน ใช้กับ AHA และ BHA

กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA : Alpha Hydroxy Acid) และกรดเบตาไฮดรอกซี (BHA : Beta Hydroxy Acid) ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใส ลดสิว และช่วยให้สารบำรุงต่าง ๆ ซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้นครับ

หลังการใช้กรดอาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำและรู้สึกตึง การใช้ร่วมกับไฮยาลูรอนจะช่วยฟื้นฟูให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น สมดุล และลดโอกาสเกิดการระคายเคือง

วิธีใช้: ทา AHA/BHA ก่อน และรอให้ผิวเซตตัว แล้วจึงลงไฮยาลูรอน เพื่อคืนความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวฟื้นตัวครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม : AHA & BHA ต่างกันอย่างไร ? เหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง ?

แนะนำมูสโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA
Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

โฟมล้างหน้า Dr. V Square Soft Cleansing Mousse

Dr. V Square Soft Cleansing Mousse มูสโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่มีส่วนผสมของ AHA และ BHA ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก ลดการอุดตันของสิ่งสกปรก พร้อมสารสกัดจาก Japanese Plum Extract และข้าวสาลี ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวดูอิ่มฟู โดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงหลังใช้ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวที่อักเสบหรือเป็นสิวง่าย


FAQ เกี่ยวกับไฮยาลูรอน

ใช้ไฮยาลูรอนได้ทุกวันไหม ?

สามารถใช้ไฮยาลูรอนได้ทุกวันครับ ทั้งเช้า-เย็น โดยเฉพาะหลังล้างหน้า เพราะเป็นช่วงที่ผิวยังมีความชุ่มชื้นและพร้อมดูดซับสารบำรุง ไฮยาลูรอนจะช่วยกักเก็บน้ำในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและไม่แห้งตึง

ใช้ไฮยาลูรอนแล้วสิวขึ้นไหม ?

โดยทั่วไปไฮยาลูรอนไม่ทำให้เกิดสิวครับ หากเลือกผลิตภัณฑ์สูตร Non-comedogenic ที่ไม่อุดตันรูขุมขน และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือซิลิโคนหนักเกินไป

แต่ถ้าคนไข้ผิวมีปัญหาสิวอยู่แล้ว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ไฮยาเนื้อบางเบา เช่น เซรัมหรือน้ำตบ จะช่วยลดโอกาสอุดตันและให้ความชุ่มชื้นได้ดีโดยไม่ทำให้ผิวมันเพิ่มขึ้นครับ

ควรทาไฮยาลูรอนก่อนหรือหลังมอยส์เจอไรเซอร์ ?

ควรทาไฮยาลูรอนก่อน แล้วจึงตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ครับ เพราะไฮยาลูรอนทำหน้าที่ดึงและเก็บกักความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว ส่วนมอยส์เจอไรเซอร์จะช่วยล็อกน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิว การใช้ร่วมกันในลำดับนี้จะช่วยให้ผิวอิ่มน้ำยาวนานและฟื้นบำรุงได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุดครับ

คนท้องใช้ไฮยาลูรอนได้ไหม ?

โดยทั่วไปครีมบำรุงผิวหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอน สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์ครับ เพราะไฮยาลูรอนเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย และมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว จึงมักใช้ในครีมหรือโลชันลดรอยแตกลายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว

ทั้งนี้ หมอแนะนำให้อ่านฉลากผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนผสมอื่นที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือสารที่ไม่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ เช่น เรตินอล หรือกรดผลไม้บางชนิด

ส่วนในกรณีของอาหารเสริมหรือหัตถการฉีดไฮยาลูรอน ไม่แนะนำให้ทำในช่วงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ครับ

ไฮยาลูรอน มีข้อเสียไหม ?

โดยทั่วไปไฮยาลูรอนเป็นสารที่ปลอดภัยและอ่อนโยนต่อผิว สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ง่ายครับ แต่ข้อควรระวังคือหากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีการผสมสารบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสียในปริมาณสูง ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้


สรุปไฮยาลูรอน ตัวช่วยเติมความชุ่มชื้นที่ผิวขาดไม่ได้

ไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) เป็นหนึ่งในสารบำรุงผิวที่สำคัญที่สุดสำหรับการดูแลผิวในทุกช่วงวัย เพราะมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำในผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูอิ่มฟูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ

โดยวิธีที่นิยมมากที่สุด จะเป็นการใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนครับ หากทาอย่างต่อเนื่อง ไฮยาลูรอนจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ เรียบเนียน และพร้อมรับการบำรุงจากครีมหรือเซรัมตัวอื่นได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว รวมถึงปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือหลังทำหัตถการ


อ้างอิง

  • Putra IB, Jusuf NK, Dewi NK. Skin Changes and Safety Profile of Topical Products During Pregnancy. J Clin Aesthet Dermatol. 2022 Feb;15(2):49-57. PMID: 35309882; PMCID: PMC8884185.
  • Chang WH, Liu PY, Lin MH, Lu CJ, Chou HY, Nian CY, Jiang YT, Hsu YH. Applications of Hyaluronic Acid in Ophthalmology and Contact Lenses. Molecules. 2021 Apr 24;26(9):2485. doi: 10.3390/molecules26092485. PMID: 33923222; PMCID: PMC8123179.
  • Bukhari, S. N. A., Roswandi, N. L., Waqas, M., Habib, H., Hussain, F., Khan, S., Sohail, M., Ramli, N. A., Thu, H. E., & Hussain, Z. (2018). Hyaluronic acid, a promising skin rejuvenating biomedicine: A review of recent updates and pre-clinical and clinical investigations on cosmetic and nutricosmetic effects. International Journal of Biological Macromolecules, 120(Part B), 1682–1695. https://doi.org/10.1016/j.ijbiomac.2018.08.142

อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่: 19 พฤศจิกายน 2568

Share: