AHA BHA ห้ามใช้กับอะไรบ้าง

AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไร

AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไร ? เป็นคำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยเมื่อเริ่มใช้สารกลุ่มกรดนี้ในการดูแลผิว ในวงการสกินแคร์ AHA และ BHA เป็นสารสกัดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการดูแลผิวหน้า ด้วยคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว รักษาสิว และช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

แต่การใช้สารทั้งสองนี้ก็มีข้อควรระวังที่ต้องทำความเข้าใจก่อนใช้ครับ เพราะการใช้ร่วมกับสารบางชนิดอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่าย บทความนี้หมอจะพาไปเจาะลึกว่า AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไรบ้าง ? และใช้คู่กับส่วนผสมไหนได้อย่างปลอดภัยครับ

คลิกอ่านหัวข้อ AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไร


AHA / BHA คืออะไร ? ทำไมควรใช้ให้ถูกวิธี ?

หมออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ครับว่า AHA และ BHA เป็นกลุ่มของกรดอ่อน ๆ มักใช้เป็นส่วนผสมของสกินแคร์และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งต่างก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ช่วยในการดูแลผิวหน้าแตกต่างกันไป

AHA และ BHA คืออะไร
AHA และ BHA

AHA (Alpha Hydroxy Acids) คือ กรดผลไม้ เช่น กรดไกลโคลิก กรดแลคติก ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวหน้าชั้นนอก ช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำบนใบหน้า

BHA (Beta Hydroxy Acid) ที่รู้จักกันดีคือ กรดซาลิไซลิก มีคุณสมบัติละลายได้ในน้ำมัน จึงสามารถซึมลึกเข้าสู่รูขุมขนได้ดี เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาสิว รูขุมขนกว้าง หรือผิวมัน

ทำไมควรใช้ให้ถูกวิธี ?

  • การใช้ไม่ถูกวิธีอาจทำให้ผิวแพ้ แดง ระคายเคืองได้
  • ความเข้มข้นสูงเกินไปอาจทำให้ผิวไหม้ หรือลอกเป็นขุยได้
  • การใช้ร่วมกับสารบางชนิดอาจลดประสิทธิภาพของกันและกัน
  • ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA หรือ BHA บางชนิดอาจไม่เหมาะกับสภาพผิวบางประเภท

AHA / BHA ห้ามใช้คู่กับอะไร ?

ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA/BHA ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้คู่กับสารอื่นๆ ใน Skincare Routine ครับ เพราะการใช้ร่วมกันกับส่วนประกอบบางอย่าง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองรุนแรง ผลัดผิวมากเกินไป หรือทำให้ประสิทธิภาพของสกินแคร์ลดลงได้ ซึ่ง AHA / BHA ห้ามใช้คู่กับอะไรบ้าง มีดังนี้

ห้ามใช้ AHA / BHA คู่กับ Vitamin C

วิตามินซีเป็นสารยอดนิยมในวงการสกินแคร์ ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ แต่เมื่อนำมาใช้ร่วมกับ AHA/BHA อาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมเท่าไรนัก เนื่องจากมีข้อควรระวังที่ควรพิจารณา ดังนี้

AHA / BHA ห้ามใช้กับ Vitamin C
AHA / BHA ห้ามใช้กับ Vitamin C เพราะเสี่ยงทำให้ระคายเคืองผิว
  • AHA/BHA และวิตามินซีมีค่าความเป็นกรดต่างกัน การใช้ร่วมกันอาจทำให้ทั้งสองส่วนผสมทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร
  • วิตามินซีมีความไม่เสถียรโดยธรรมชาติ เมื่อใช้งานร่วมกับสารกลุ่มกรดอย่าง AHA/BHA อาจทำให้วิตามินซีเสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น
  • เพิ่มความเสี่ยงในการระคายเคืองผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจเกิดอาการแสบ แดง หรือคันได้มากกว่าปกติ

คำแนะนำคือ ควรแยกเวลาในการใช้ เช่น ทาวิตามินซีในช่วงเช้า เพื่อช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระระหว่างวัน และใช้ AHA หรือ BHA ในช่วงกลางคืน เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึกครับ

ห้ามใช้ AHA / BHA คู่กับ Retinol

Retinol หรือ อนุพันธ์ของวิตามินเอ เป็นหนึ่งในสารบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว แต่การใช้ Retinol ร่วมกับ AHA หรือ BHA อาจไม่เหมาะสม ด้วยเหตุผลดังนี้

AHA / BHA ห้ามใช้กับ Retinol
การใช้ AHA/BHA และ Retinol ร่วมกัน อาจทำให้ผิวบางมากเกินไป
  • ทั้ง Retinol และ AHA/BHA มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว การใช้พร้อมกันอาจทำให้ผิวบางและบอบบางมากเกินไป จนอาจเกิดอาการระคายเคือง แดง หรือแสบผิวได้
  • เพิ่มความไวต่อแสงแดด เมื่อผิวบางลง โอกาสที่ผิวจะเกิดปัญหา เช่น ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจากแสงแดดก็จะเพิ่มสูงขึ้น
  • ประสิทธิภาพของ Retinol อาจลดลง เนื่องจาก AHA/BHA มีผลต่อค่า pH ของผิว ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของ Retinol โดยตรง

วิธีที่ปลอดภัยคือ ควรแยกการใช้งานเป็นคนละวัน เช่น ใช้ Retinol ในวันที่ไม่ได้ใช้ AHA/BHA เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับสมดุล และลดโอกาสในการเกิดการระคายเคืองครับ

ห้ามใช้ AHA / BHA คู่กับ Benzoyl Peroxide

Benzoyl Peroxide เป็นตัวช่วยแก้ปัญหาสิวที่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อนำมาใช้ร่วมกับ AHA หรือ BHA อาจส่งผลให้ผิวได้รับการกระตุ้นมากเกินไปครับ เพราะ

AHA / BHA ห้ามใช้กับ Benzoyl Peroxide
Benzoyl Peroxide และ AHA/BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว ใช้ร่วมกันอาจทำให้ผิวแห้งลอกได้
  • ทั้งสองสารมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว และอาจทำให้ผิวแห้งหรือลอกได้ การใช้พร้อมกันอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองมากกว่าปกติ
  • Benzoyl Peroxide และ AHA/BHA ต่างก็มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดความมันส่วนเกิน การใช้ร่วมกันจึงอาจเป็นการซ้ำซ้อนและส่งผลให้ผิวอ่อนแอได้
  • ผิวอาจไวต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดรอยดำ รอยสิว หรือการอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ

หมอแนะนำให้ใช้แยกกันในช่วงเวลาที่ต่างกัน เช่น ใช้ Benzoyl Peroxide ในตอนเช้า และใช้ AHA หรือ BHA ในตอนกลางคืน หรืออาจสลับวันกันใช้ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและลดโอกาสการระคายเคืองครับ

ห้ามใช้ AHA / BHA คู่กับ Niacinamide (ในบางกรณี)

Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมยอดนิยมในวงการสกินแคร์ เพราะช่วยดูแลปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งเรื่องรูขุมขนกว้าง รอยดำ และการเสริมเกราะป้องกันผิว แต่เมื่อใช้งานร่วมกับ AHA หรือ BHA อาจมีบางจุดที่ควรระวัง โดยเฉพาะในกรณีที่ผิวบอบบางหรือระคายเคืองง่าย

AHA / BHA ห้ามใช้กับ Niacinamide
ไม่ควรใช้ AHA / BHA คู่กับ Niacinamide โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย
  • ในผิวที่แพ้ง่าย การใช้ Niacinamide และ AHA/BHA พร้อมกัน อาจกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น แดง แสบ หรือคันได้
  • ทั้งสองสารมีช่วงค่า pH ที่ต่างกัน AHA/BHA ทำงานได้ดีในภาวะเป็นกรด ส่วน Niacinamide จะทำงานได้ดีในภาวะเป็นกลาง หากใช้ติดกันทันที อาจทำให้ประสิทธิภาพของทั้งสองลดลง
  • เมื่อใช้ในความเข้มข้นสูงทั้งคู่ ผิวอาจไม่สามารถปรับตัวทัน ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น

แนวทางที่แนะนำคือ หากไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง สามารถใช้ร่วมกันได้โดยเว้นระยะเวลาให้ผิวปรับสมดุล เช่น ทาผลิตภัณฑ์ตัวแรกให้ซึมลงผิวก่อนประมาณ 20-30 นาที แล้วจึงตามด้วยตัวถัดไป เพื่อช่วยลดการระคายเคือง และยังคงประสิทธิภาพของแต่ละสารไว้ครับ

ห้ามใช้ AHA / BHA คู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูง หรือ Scrub ผิว

การใช้สครับ หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยในรูทีนดูแลผิว แต่หากใช้ร่วมกับ AHA หรือ BHA อาจส่งผลเสียต่อผิวมากกว่าผลดี โดยมีข้อควรระวังดังนี้

AHA / BHA ห้ามใช้กับผลิตภัณฑ์ Scrub ผิว
เมื่อใช้ AHA / BHA ไม่ควรทำการสครับขัดผิว หรือใช้สกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์
  • สครับและแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้ผิวแห้งและอ่อนแอ เมื่อใช้ร่วมกับ AHA/BHA ซึ่งมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ผิวจะบางลง สูญเสียความชุ่มชื้น และเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
  • ลดความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิว ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ขาดความยืดหยุ่น และอาจเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ส่งผลต่อเกราะป้องกันผิว (Skin barrier) ซึ่งเป็นชั้นสำคัญในการปกป้องผิวจากสิ่งกระตุ้นภายนอก เช่น มลภาวะ แบคทีเรีย หรือสารระคายเคืองต่างๆ

เพื่อปกป้องผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ หมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สครับ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์สูงในวันเดียวกับที่ใช้ AHA/BHA หรือเลือกใช้ในช่วงเวลาที่ผิวไม่ได้รับการผลัดเซลล์ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูและรักษาสมดุลครับ


ใช้ AHA / BHA คู่กับสารที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน ส่งผลต่อผิวอย่างไร ?

หากใช้ AHA หรือ BHA คู่กับสารที่ไม่ควรใช้ร่วมกันดังที่หมอได้กล่าวไปในข้างต้น อาจทำให้ผิวเกิดปัญหาตามมาได้ ไม่เพียงลดประสิทธิภาพของสกินแคร์ แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวในระยะยาว โดยอาการที่มักพบ ได้แก่

ใช้ AHA / BHA กับสารที่ห้ามใช้ร่วมกัน ส่งผลต่อผิวอย่างไร
ผิวแดง แสบร้อน ระคายเคือง เป็นอาการแรกที่เกิดขึ้น หลังใช้ AHA / BHA กับสารที่ห้ามใช้ร่วมกัน
  • ผิวแดง ระคายเคือง

เป็นอาการแรกที่หลายคนสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อใช้สารที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน เช่น อาการอักเสบ คัน แดง หรือแสบร้อนหลังทาผลิตภัณฑ์ไม่นาน

  • ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย

เมื่อใช้สารที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวมากเกินไป ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นจนแห้งกร้าน ลอกเป็นแผ่น และดูหมองคล้ำ ไม่สดใส

  • ชั้นผิวบางลง

เมื่อผิวถูกกระตุ้นด้วยสารหลายชนิดพร้อมกันโดยไม่มีช่วงพัก จะทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำตามมาได้ง่าย

  • ประสิทธิภาพของสารลดลง

เมื่อใช้สารที่ไม่เข้ากัน เช่น สารที่ต้องการค่า pH ต่างกัน หรือแย่งกันทำงานในผิว จะทำให้สารทั้งสองตัวลดประสิทธิภาพลง เสียเปล่าโดยไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

  • ผิวเสียสมดุล

การรบกวนสมดุลตามธรรมชาติของผิว โดยการใช้สารแรงหลายชนิดพร้อมกัน อาจทำให้ Skin barrier อ่อนแอ เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สิว ผื่นแพ้ หรือภาวะผิวไวเกิน (Sensitive skin)


AHA / BHA ใช้คู่กับอะไรได้บ้าง ?

ถึงแม้จะมีข้อควรระวังในการใช้ AHA/BHA คู่กับสารบางชนิด แต่ก็มีส่วนผสมอื่น ๆ ที่สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยครับ

  • Hyaluronic Acid : สารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก ใช้คู่กับ AHA/BHA ได้ดีมาก ช่วยลดอาการแห้งตึงจากกรดได้ และทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้านหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรด
  • Ceramides : สารจำเป็นที่ช่วยฟื้นฟูชั้นผิว เสริมความแข็งแรงให้ barrier ของผิว เหมาะกับการใช้หลังจาก AHA/BHA เพราะช่วยซ่อมแซมผิวที่อาจถูกทำลายจากกรด ทำให้ผิวแข็งแรงและมีสุขภาพดีในระยะยาว
  • Peptides : โมเลกุลโปรตีนขนาดเล็กที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ใช้หลังจาก AHA/BHA เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย เมื่อ AHA/BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว peptides จะทำงานได้ดีขึ้นในการซ่อมแซมผิว
  • Squalane : น้ำมันธรรมชาติที่มีโครงสร้างคล้ายไขมันในผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้น ไม่อุดตันรูขุมขน ใช้คู่กับ AHA/BHA ได้ดี ช่วยเคลือบผิวและลดการระเหยของน้ำ เหมาะกับทุกสภาพผิวแม้แต่ผิวมัน ผิวผสม
  • Glycerin : สารให้ความชุ่มชื้นที่มีคุณสมบัติดึงน้ำเข้าสู่ผิว ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิว ลดอาการแห้งตึงจากการใช้ AHA/BHA เป็นส่วนประกอบพื้นฐานในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้หลังการใช้กรด
  • Aloe Vera (ว่านหางจระเข้) : สารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบและความแดง ช่วยฟื้นฟูผิวที่ระคายเคืองจากการใช้ AHA/BHA ได้เป็นอย่างดี อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผิวสงบและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • Centella Asiatica (ใบบัวบก) : สารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติลดรอยแดง ฟื้นฟูผิวที่บอบบาง และบำรุงผิวหลังการผลัดเซลล์ด้วย AHA/BHA ประกอบด้วยสารสำคัญ เช่น madecassoside ที่ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมผิวและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Niacinamide : วิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์หลากหลาย สำหรับผิวที่ไม่บอบบาง สามารถใช้ความเข้มข้นต่ำ-ปานกลาง (2-5%) ร่วมกับ AHA/BHA ได้ ช่วยควบคุมความมัน ลดรอยแดง และกระตุ้นการสร้างเซรามายด์ตามธรรมชาติของผิว แนะนำให้ทาห่างกัน 20-30 นาที

หากกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ใช้คู่กับ AHA/BHA ได้อย่างปลอดภัย หมอขอแนะนำผลิตภัณฑ์คุณภาพดีจาก Dr. V Square ที่ออกแบบมาเพื่อการดูแลผิวแบบองค์รวมครับ

เมราลิส เซรั่ม
Dr. V Square Melaris Serum

Dr. V Square Melaris Serum ใช้ร่วมกับ AHA/BHA ได้

Dr. V Square Melaris Serum เป็นเซรั่มที่พัฒนาขึ้นเพื่อลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำ ด้วยเทคโนโลยี Niosomal ที่ช่วยให้สารสำคัญซึมลึกเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นถึง 332% จึงเห็นผลเรื่องความกระจ่างใสได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ AHA / BHA ซึ่งช่วยเปิดผิวให้รับสารบำรุงได้ดีขึ้นอีกขั้น

ส่วนผสมหลักคือสารสกัด Mandarin Clear จากญี่ปุ่น ที่ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ลดรอยฝ้าและความหมองคล้ำอย่างอ่อนโยน เซรั่มตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของ Hydroquinone และสเตียรอยด์ ผ่านการออกแบบมาให้ลดโอกาสเกิดสิวอุดตันหรือการระคายเคือง จึงเหมาะกับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่ายหรือผิวที่เพิ่งผ่านหัตถการครับ

ไฮยา บูสท์ ครีม
Dr. V Square Hya-Boost Cream

Dr. V Square Hya-Boost Cream ใช้ร่วมกับ AHA/BHA ได้

ครีมบำรุงผิวสูตรเข้มข้น Dr. V Square Hya-Boost Cream ช่วยเติมความชุ่มชื้นยาวนานถึง 72 ชั่วโมง ด้วยสารสกัดจากพืชธรรมชาติ 7 ชนิดจากสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสารสกัดจากข้าวสาลีที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของ Skin barrier และลดการสูญเสียน้ำในผิว

ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับใช้หลังการผลัดเซลล์ผิวด้วย AHA / BHA เพราะสามารถช่วยปลอบประโลมผิว ลดอาการแห้งตึง และป้องกันการอักเสบจากการใช้งานกรดอย่างต่อเนื่อง เนื้อครีมบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนอะหนะ และไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสเตียรอยด์ จึงสามารถใช้ได้ทุกวันโดยไม่ก่อให้เกิดการสะสมหรือผลข้างเคียงในระยะยาวครับ

แนะนำให้ใช้ Dr. V Square Melaris Serum ก่อนเพื่อช่วยเรื่องจุดด่างดำ จากนั้นตามด้วย Dr. V Square Hya-Boost Cream เพื่อเติมความชุ่มชื้นและปกป้องผิว เป็นการดูแลผิวอย่างครบถ้วนหลังจากการใช้ AHA / BHA ที่ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ไวขึ้นโดยไม่ระคายเคือง แต่ยังช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาวด้วยครับ


วิธีใช้ AHA / BHA ให้ปลอดภัย ไม่ระคายเคือง

หลังจากที่ได้รู้กันไปแล้วว่า AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไรบ้าง ? อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ วิธีการใช้ AHA / BHA ให้ถูกต้องและปลอดภัยครับ เพราะแม้จะใช้ AHA/BHA โดยไม่ผสมกับสารอื่น แต่หากใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็ยังเสี่ยงที่จะทำให้ผิวระคายเคืองหรืออ่อนแอได้ครับ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสการเกิดปัญหาผิว หมอขอแนะนำเทคนิคการใช้ AHA / BHA อย่างปลอดภัย ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • เริ่มจากความเข้มข้นต่ำก่อน : สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นใช้ ควรเลือก AHA ที่มีความเข้มข้นประมาณ 5–7% หรือ BHA ที่ 0.5–1% ก่อน เพื่อให้ผิวมีเวลาปรับตัว
  • ค่อย ๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ : เริ่มจากการใช้สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อผิวเริ่มแข็งแรงและไม่มีอาการระคายเคือง
  • อย่าลืมทาครีมบำรุงตามทันที : หลังใช้ AHA / BHA ควรทาครีมบำรุงที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น เช่น Hyaluronic Acid, Glycerin หรือ Ceramides เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งตึง
ใช้ AHA / BHA ควรทาครีมกันแดด
ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพราะการใช้ AHA / BHA ทำให้ผิวไวต่อแสงได้ง่าย
  • ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดเสมอ : เนื่องจาก AHA / BHA ทำให้ผิวไวต่อแสง ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA 3+ ทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกแดดโดยตรง
  • หยุดใช้ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ : หากมีอาการแดง คัน แสบ หรือผิวลอกมากผิดปกติ ให้หยุดใช้และสังเกตอาการทันที หากไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • แยกเวลาใช้กับสารที่อาจระคายเคืองร่วมกัน : เช่น วิตามินซี, Retinol หรือ Niacinamide (ในบางกรณี) ควรใช้คนละช่วงเวลา เช่น AHA / BHA ตอนกลางคืน และอีกสารหนึ่งในตอนเช้า หรือทิ้งช่วงห่างกัน 20–30 นาที

การใช้ AHA / BHA อย่างถูกวิธี ไม่เพียงแค่ลดโอกาสระคายเคือง แต่ยังช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น ผิวแข็งแรงขึ้น และปลอดภัยในระยะยาวครับ


สรุป AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไรบ้าง ?

สำหรับคำถาม AHA / BHA ห้ามใช้กับอะไร ? คำตอบคือ ห้ามใช้คู่กับสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ Vitamin C, Retinol, Benzoyl Peroxide และ Niacinamide (สำหรับผิวบาง) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มี Alcohol สูงหรือสครับผิว

หมอแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว และปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์หรือสกินแคร์ที่มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย การใช้ AHA/BHA อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียน ลดสิว และลดเลือนริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ


อ้างอิง

อัปเดตล่าสุดเมื่อวันที่: 21 เมษายน 2568

Share: