สิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักสร้างความกังวลให้ใครหลายคน แม้ว่าจะรักษาสิวอักเสบ ที่มีลักษณะเป็นสิวหัวแข็ง หรือสิวอักเสบไม่มีหัวบวมแดงเป็นก้อนจนหายไปแล้ว แต่ก็มักจะทิ้งรอยสิวไว้ให้เห็นต่างหน้าครับ และมีความเป็นไปได้ ว่าจะมีโอกาสกลับมาหน้าเป็นสิวอักเสบได้อีกครั้ง
ในบทความนี้หมอมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับสิวอักเสบมาฝาก สิวอักเสบเกิดจากอะไร มีลักษณะเป็นแบบไหน บีบสิวอักเสบหัวหนองได้ไหม รักษาด้วยวิธีไหนได้ผลบ้าง ผู้อ่านสามารถติดตามได้ผ่านบทความนี้เลยครับ
คลิกอ่านหัวข้อที่สนใจเกี่ยวกับสิวอักเสบ
สิวอักเสบ คืออะไร ?
สิวอักเสบ คือ โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดการอักเสบเรื้อรังตรงบริเวณรูขุมขน และ ต่อมไขมัน สิวอักเสบมักพัฒนามาจากสิวอุดตันและสิวผด โดยจะมีแบคทีเรียที่มีชื่อว่า P.acnes (พี-แอคเน่) เจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว
ซึ่ง P.acnes มีความสามารถในการดึงเม็ดเลือดขาว ให้เข้ามาอยู่ในตุ่มสิว ทำให้เกิดการกระตุ้นจนมีอาการอักเสบเกิดขึ้น และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยน้ำมันในตุ่มสิว ให้กลายเป็นกรดไขมัน ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการอักเสบเพิ่มอีกด้วยครับ
สิวอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร ?
- ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน จะส่งผลต่อการเกิดสิวอักเสบ โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) และ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ในเพศชาย ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีขนาดใหญ่ขึ้น จนผลิตน้ำมันออกมาเพิ่ม ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณรูขุมขน จนกลายเป็นสิวอุดตัน และพัฒนาเป็นสิวอักเสบครับ
- แบคทีเรีย : การมีเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium Acnes หรือ P.acnes เติบโตอยู่ในตุ่มสิว จะทำให้เกิดการย่อยไขมัน จนกลายเป็นกรดไขมัน ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นจนเกิดสิวอักเสบที่บริเวณดังกล่าว
- กรรมพันธุ์ : หากคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ เคยเป็นสิวในช่วงวัยรุ่น มีผิวมันง่าย รูขุมขนกว้าง ลูก ๆ จะมีแนวโน้มเป็นสิวอักเสบได้เช่นกัน เพราะสภาพผิวที่มัน จะทำให้ง่ายต่อการเกิดสิวอักเสบ
- การสัมผิสผิวหน้า : การสัมผัสผิวหน้า เช่น การเท้าคาง เอามือลูบหน้า การบีบสิว แคะ เกา ฯลฯ จะทำให้สิวหรือพื้นผิวบริเวณดังกล่าว มีโอกาสเกิดสิวอักเสบขึ้นมาได้ครับ เนื่องจากมือของเราไม่สะอาด ทำให้สิ่งปนเปื้อนสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง จนเกิดสิวเม็ดเล็ก ๆ ขึ้น หรือหากมีสิวอุดตันอยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นสิวอักเสบได้
- ไลฟ์สไตล์ : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนบางตัว จะกระตุ้นการทำงานที่ต่อมไขมันของเราครับ เมื่อผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มขึ้นเกินความจำเป็น ก็จะเกิดสิวได้ง่าย และอาจจะพัฒนาเป็นสิวอักเสบต่อไป
- เครื่องสำอาง : การใช้เครื่องสำอาง เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ เพราะบางคนอาจจะมีสิวอุดตันขึ้นอยู่แล้ว เมื่อถูกสารจากเครื่องสำอางกระตุ้นตอนแต่งหน้า อาจจะทำให้สิวอักเสบขึ้นครับ
- ความเครียด : คนที่เครียดง่าย มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่าย เพราะร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติโซล (Cortisol) ที่จะส่งผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมากเกินปกติครับ หากมีความเครียดสะสมก็จะทำให้หัวสิวธรรมดา กลายเป็นสิวอักเสบได้เช่นกัน
- มลภาวะทางอากาศ : ฝุ่น และ ควัน มีส่วนช่วยกระตุ้นให้สิวอุดตันบนใบหน้า กลายเป็นสิวอักเสบได้ เพราะมลภาวะทางอากาศที่เราเจอระหว่างวัน จะสัมผัสกับผิวหน้าของเราโดยตรง
- การใช้ยา : การใช้ยาที่มีส่วนผสม Corticosteroids, Anabolic Steroids, Isoniazid, Phenytoin, Corticotropin, Lithium, Vitamin B6 และ B12 อาจจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ทำให้สิวที่เคยมีอยู่แล้ว กลายเป็นสิวอักเสบได้ หลังจากใช้ยาที่มีส่วนผสมเหล่านี้
ลักษณะสิวอักเสบ มีทั้งหมดกี่แบบ ?
ลักษณะสิวอักเสบแบ่งออกได้ 5 ดังนี้
1. สิวหัวหนอง (Pustule)
สิวหัวหนอง เกิดจากสิวอักเสบที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยลักษณะสิวหัวหนองจะเป็นตุ่มแดง ไม่เป็นไต และมีหัวหนองสีเหลืองอยู่บริเวณด้านบนตุ่ม เป็นสิวอักเสบที่มีอาการรุนแรง มากกว่าสิวตุ่มนูนแดง คนที่เป็นสิวอักเสบหัวหนองบางราย อาจมีอาการปวดร่วมด้วยครับ
2. สิวตุ่มนูนแดง (Papule)
สิวตุ่มนูนแดง มีอีกชื่อที่คนนิยมเรียก คือ สิวหัวช้างไม่มีหัว เกิดจากสิวอุดตันที่มีอาการอักเสบในระยะแรก ๆ โดยสิวอักเสบประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง หากสัมผัสโดนจะรู้สึกเจ็บ ขนาดของเม็ดสิวจะไม่เกิน 0.5 cm.
3. สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก (Nodule)
สิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก เกิดจากการบีบหรือกดสิวตุ่มนูนแดง ทำให้น้ำมันภายในตุ่มสิว และแบคทีเรียแตกกระจายตัวอยู่ใต้ผิวหนัง แล้วเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นในบริเวณดังกล่าว ลักษณะสิวอักเสบแดงเป็นก้อนลึก คือ จะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง ไม่มีหัวสิว บางรายอาจมีอาการเจ็บและรู้สึกปวด
4. สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)
สิวหัวช้าง เป็นสิวระดับรุนแรงมากครับ เกิดจากการที่สิวอักเสบรุนแรงทุกชนิดขึ้นรวมกันจนหนาแน่น ลักษณะของสิวหัวช้าง จะมีรอยนูนแดง บวม มีหัวหนองเห็นได้ชัดเจน ตุ่มสิวอักเสบแข็งกว่าสิวซีสต์ หากเป็นสิวอักเสบประเภทนี้แล้วจะรักษาได้ยากขึ้น ยิ่งรักษาสิวแบบผิดวิธี จะทำให้สิวเกิดการลุกลาม เซลล์ผิวถูกทำลาย จนกลายเป็นหลุมสิวถาวร หรือเกิดรอยแผลเป็นได้ครับ
5. สิวซีสต์ (Acne Cyst)
สิวซีสต์ เป็นสิวอักเสบระดับรุนแรงที่สุดครับ เกิดจากการอุดตันรูขุมขนและเชื้อแบคทีเรีย จนทำให้เกิดอาการอักเสบใต้ผิวหนังชั้นลึก โดยมีลักษณะเป็นถุงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง ภายในอาจมีหนองสีขาวเหลืองอยู่ตรงกลางตุ่มสิว เมื่อสัมผัสโดนจะรู้สึกเจ็บ หากสิวซีสต์แตกออกจนหนองไหล อาจทำให้เกิดสิวลุกลามตามมาได้
รักษาสิวอักเสบ ลดสิวอักเสบ มีวิธีอย่างไร ?
วิธีรักษาสิวอักเสบไม่มีหัวบวมแดง หรือ สิวอักเสบมีหัว สามารถทำได้หลายวิธีครับ โดยหมอจะสรุปวิธีรักษาสิวให้ผู้อ่านได้ทราบเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. รักษาด้วยการกดสิวอักเสบ
การกดสิวอักเสบ เป็นวิธีรักษาที่ได้รับความนิยมครับ เหมาะกับสิวอักเสบมีหัวหนอง เพราะหัวสิวอยู่ตื้น ทำให้กดออกได้เลย แต่ต้องกดสิวอักเสบอย่างถูกวิธีด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ หากกดสิวอักเสบโดยแพทย์ จะมีการเจาะหัวสิวอักเสบ เพื่อเปิดให้หัวหนองออกง่าย ๆ ครับ โดยจะไม่มีรอยสิว หรือรอยแผลเป็นภายหลัง
การรักษาด้วยการกดสิวอักเสบเอง จะไม่เหมาะกับสิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ เพราะอาจจะต้องกรีดผิวหนัง เพื่อระบายหัวหนองออก จากนั้นจะต้องทำความสะอาดบริเวณสิว และมีการทายาปฏิชีวนะ เพื่อลดความรุนแรงลง จึงจำเป็นต้องกดสิวอักเสบประเภทนี้ ด้วยเครื่องมือกดสิวเฉพาะทาง และทำการรักษาโดยแพทย์เท่านั้นครับ
2. รักษาด้วยการฉีดสิวอักเสบ
การฉีดสิวอักเสบ เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบแบบเร่งด่วนครับ โดยจะใช้สารที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบ เช่น กลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ฉีดลงบนตุ่มสิว เพื่อยับยั้งอาการอักเสบ และบวมแดงของตุ่มสิว
การฉีดสิวอักเสบจะเริ่มเห็นผลภายใน 1-3 วัน เหมาะกับสิวอักเสบที่ไม่มีหัว มีอาการบวม เป็นมานานเรื้อรัง แบบไม่มีท่าทีว่าจะหาย โดยก่อนที่จะฉีดสิว แพทย์จะทำการประเมินก่อนครับ ว่าสิวบริเวณนั้นเหมาะกับการรักษาด้วยการฉีดสิวหรือไม่ ?
3. การทายาลดสิวอักเสบเฉพาะที่
การทายาลดสิว เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่นิยมที่สุดครับ เพราะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการทานยารักษาสิว โดยการทายาลดสิวจะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสิวระดับปานกลาง-รุนแรง กลุ่มยาที่ทารักษาสิวได้ เช่น
- ยาทาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ (Topical antibiotics)
- ยาทาเรตินอยด์ หรือ อนุพันธ์ของกรด Vitamin A
- ยากลุ่ม Benzoyl Peroxide
ซึ่งการทายารักษาสิว หมอแนะนำว่าควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง หรือเภสัชกรครับ เพราะหากใช้ผิดวิธี อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้
4. การทานยาลดสิวอักเสบ
การรักษาสิวอักเสบด้วยการทานยา จะเป็นกลุ่มยาปฏิชีวนะ รวมถึงปรับฮอร์โมนในร่างกายครับ ก่อนที่จะกินยาลดสิวอักเสบ คนไข้ต้องเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง จากนั้นแพทย์จะจ่ายยารักษาสิวตามอาการให้เราครับ ซึ่งเราห้ามซื้อยารักษาสิวทานเองโดยเด็ดขาด ! เพราะการทานยาลดสิวอักเสบ อาจจะส่งผลข้างเคียงได้ครับ โดยกลุ่มยาที่แพทย์จะจ่ายให้คนไข้ มีดังนี้
- ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline)
- ไอโสเตรตินอย (Isotretinoin)
- เซฟาเลกซิน (Cephalexin)
- ยาคุมกำเนิด
5. การใช้แผ่นแปะสิวลดสิวอักเสบ
การติดแผ่นแปะสิวบริเวณสิวอักเสบ ได้รับความนิยมเช่นกันครับ เพราะสามารถดึงเอาหัวสิวออกมาได้อย่างรวดเร็ว หลักการดูดหัวสิว คือ แผ่นแปะสิวจะดึงเอาน้ำ ของเหลว และไขมันส่วนเกิน ออกมาจากตรงที่เป็นสิวอักเสบ ทำให้หัวสิวแห้งไว เหมาะกับสิวอักเสบบริเวณผิวชั้นบนเท่านั้น หากเป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง การติดแผ่นแปะสิวจะดูดสิวหัวหนองไม่ได้ครับ
6. การเลเซอร์รักษาสิวอักเสบ
เลเซอร์สิว เป็นการรักษาสิวอักเสบด้วยแสงเลเซอร์ โดยจะเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ที่เป็นต้นตอของสาเหตุการเกิดสิว ตัวอย่างเลเซอร์รักษาสิวอักเสบ หรือสิวอุดตัน เช่น
- CO2 Laser
- Dual Yellow
- Omnilux
7. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าลดการเกิดสิวอักเสบ
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าในขณะที่เป็นสิวอักเสบ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า สกินแคร์ดูแลผิว และครีมกันแดดครับ เพราะเป็นการดูแลผิวขั้นพื้นฐาน ที่จำเป็นสำหรับการปกป้องผิวจากสิวอักเสบ
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า
เมื่อเป็นสิวอักเสบ เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ที่คนเป็นสิวสามารถใช้ได้ เป็นสูตรอ่อนโยน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ที่สำคัญต้องทำความสะอาดผิวหน้าได้ดี ลดสิ่งอุดตัน ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบครับ
หมอขอแนะนำ Dr. V Square Soft Cleansing Mousse มูสโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน ที่เนื้อสัมผัสเป็นฟองนุ่ม ละเอียด ที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และลดสิ่งอุดตันบนใบหน้า อันเป็นสาเหตุของสิวอักเสบได้อย่างล้ำลึก หลังทำความสะอาดผิวหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น สามารถทายารักษาสิวอักเสบตามได้ โดยที่หน้าไม่แห้งตึง
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวลดสิว
สกินแคร์ที่เหมาะกับการใช้บำรุงผิวและลดสิวอักเสบ จะมีส่วนผสมของกรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids : AHA) และ กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid : BHA) เพราะเป็นกรดอ่อนที่มีส่วนช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน ที่เป็นต้นตอของการเกิดสิวอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยให้รูขุมขนกระชับ รอยสิวแลดูจางลงอีกด้วยครับ
ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด
แม้ว่าจะเป็นสิวอักเสบ เราก็ไม่ควรละเลยการทาครีมกันแดดครับ เพราะแสงแดดและมลภาวะ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นการอักเสบของสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบ เราควรเลือกครีมกันแดดคุมมัน เพราะจะไม่รู้สึกเหนอะหนะผิว ที่สำคัญ คือ ควบคุมความมันระหว่างวันได้ดีครับ
หมอขอแนะนำ Dr. V Square UV ABC Sunscreen Cream ครีมกันแดดแบบ Hybrid มาตรฐานเยอรมัน ที่มีส่วนช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA, UVB, Blue Light และ Infrared ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเกิดสิวอักเสบ ครีมกันแดดตัวนี้สามารถทาได้ทุกสภาพผิวครับ เนื้อสัมผัสเกลี่ยง่าย ไม่เป็นคราบ พร้อมช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
คลิกอ่านเพิ่มเติม : วิธีทากันแดดที่ถูกต้อง สำหรับผิวหน้า – ผิวกาย ให้ผิวสวยห่างไกลจากแสงแดด
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ต้องหาหมอหรือไม่ ?
หากมีสิวอักเสบเห่อขึ้นไม่หยุด แล้วกระจายเป็นวงกว้าง ทางหมอ Dr. V Square แนะนำว่าให้รีบเข้ารับการรักษากับแพทย์ผิวหนังโดยเร็วที่สุดครับ เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการ และวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง ยิ่งปล่อยไว้นาน ก็มีโอกาสที่สิวอักเสบจะมีอาการรุนแรงขึ้น แถมยังทำให้เราเสียความมั่นใจอีกด้วยครับ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิวอักเสบหัวหนอง
นอกจากการทานยารักษาสิว ทายาลดสิวอักเสบเฉพาะที่แล้ว ใครที่เป็นสิวอักเสบแล้วดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาสให้สิวอักเสบมีอาการดีขึ้น ลดอาการสิวลาม โดยวิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิวอักเสบมีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางเมื่อหน้าเป็นสิวอักเสบ หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ก็ควรแต่งให้น้อยที่สุดครับ จะได้ลดการกระตุ้นการอักเสบที่เม็ดสิว
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อดนอน ไม่นอนดึก
- ออกกำลังกาย หรือทำงานอดิเรก เพื่อลดความเครียดสะสม
- ทานยา และทายาลดสิวอักเสบ ตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
- ดื่มน้ำเปล่าสะอาด ให้เพียงพอต่อความต้องการ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณสิวอักเสบ งดการแกะ แคะ บีบ เกา
- ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- ไม่ทานยาลดสิว เช่น ยาคุมกำเนิด ยาปรับฮอร์โมน ยาสเตียรอยด์ หรือฉีดสิวอักเสบด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาด
วิธีป้องกันสิวอักเสบ
การป้องกันสิวอักเสบเบื้องต้นด้วยตัวเอง สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ครับ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้า งดบีบสิว แกะ แคะ เกา
- หมั่นดูแลสุขอนามัยอยู่เสมอ เช่น เปลี่ยนชุดผ้าปูที่นอน ซักเสื้อผ้าให้สะอาด ทำความสะอาดสถานที่อยู่อาศัย เพื่อลดมลภาวะ ที่เป็นปัจจัยในการเกิดสิวอักเสบ และสิวประเภทอื่น ๆ
- หากิจกรรมทำ เพื่อลดความเครียดสะสม เช่น ออกกำลังกาย ทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานผักและผลไม้ รวมถึงทาวิตามินอาหารเสริม
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิว ให้เหมาะกับสภาพผิว
คำถามที่บ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบ
สามารถบีบสิวอักเสบเองได้ไหม ?
หมอไม่แนะนำให้บีบสิวอักเสบด้วยตัวเองครับ
เพราะการบีบสิวอักเสบ รวมถึงการแคะ แกะ เกา จะทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรงขึ้นได้ แถมยังทิ้งรอยสิว หลุมสิว เป็นของแถมอีกด้วยครับ หากต้องการบีบสิวอักเสบ ควรเข้ารับการกดสิวโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น
รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง ทำได้หรือไม่ ?
เมื่อเป็นสิวอักเสบรุนแรง และกระจายทั่วใบหน้า เราไม่ควรรักษาสิวด้วยตัวเองครับ แต่ควรเข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม ยิ่งปล่อยไว้นานจะทำให้เราสูญเสียความมั่นใจ และมีโอกาสที่สิวอักเสบจะเกิดเพิ่มขึ้นได้ครับ
สิวอักเสบ รักษาด้วยวิธีธรรมชาติได้ไหม ?
หากเป็นการใช้สมุนไพรธรรมชาติ รักษาสิวอักเสบรุนแรงที่กระจายทั่วใบหน้า หมอไม่แนะนำครับ เพราะอาจจะทำให้สิวอักเสบเห่อขึ้นได้ คนไข้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง ควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้แพทย์ประเมิน และวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม โดยจะเป็นการรักษาระยะยาวแบบปลอดภัย และยังช่วยลดโอกาสในการเกิดรอยสิว หลุมสิว รอยแดง รวมถึงรอยแผลเป็นด้วยครับ
วิธีทำให้สิวอักเสบยุบเร็วที่สุด ต้องทำอย่างไร ?
วิธีที่ทำให้สิวอักเสบยุบเร็วที่สุด คือ การฉีดสิว เพราะสิวอักเสบจะเริ่มยุบประมาณ 1-3 วันหลังฉีดครับ โดยจะเป็นการฉีดยาที่ตุ่มสิว ด้วยสารที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบ นิยมใช้เป็นสารกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งการฉีดสิวอักเสบต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้นครับ
มีวิธีทำให้สิวอักเสบยุบภายใน 1 คืน หรือไม่ ?
การฉีดสิวอักเสบ จะทำให้สิวยุบตัวลงภายใน 1-3 วันหลังฉีด
แต่ไม่ใช่สิวอักเสบทุกเม็ดครับ ที่แพทย์จะฉีดรักษาให้ ส่วนใหญ่จะฉีดลดสิวในกรณีที่คนไข้มีสิวอักเสบขึ้นแบบไม่มีหัว เป็นถุงใต้ผิวหนัง มีอาการอักเสบจนมีขนาดใหญ่ เป็นสิวอักเสบมานาน โดยไม่มีท่าทีว่าสิวจะหาย ซึ่งต้องฉีดลดสิวอักเสบโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ห้ามฉีดสิวอักเสบด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด
เป็นสิวอักเสบ จะหายขาดไหม ?
การรักษาสิวอักเสบ รวมถึงสิวประเภทอื่น ๆ จะไม่หายขาดถาวรตลอดชีวิตครับ มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นสิวอักเสบได้ตลอดเวลา ยิ่งเข้ารับการรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็จะทำให้สิวอักเสบหายไวขึ้นเท่านั้น
สรุปเรื่องสิวอักเสบ
สิวอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัยครับ เราสามารถรักษาสิวอักเสบให้หายได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลา ไม่มีการรักษาไหนที่ทำให้สิวอักเสบหายขาดไปได้เลยเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากรักษาสิวอักเสบแล้ว มีโอกาสที่จะเกิดสิวอักเสบซ้ำได้ตลอดเวลา
วิธีรักษาสิวอักเสบที่ดีที่สุด ที่หมอแนะนำ คือ การเข้ารับการรักษาสิวกับแพทย์ผิวหนัง โดยแพทย์จะประเมินอาการ และทำการรักษาสิวอักเสบให้เหมาะกับปัญหาผิวของเรา โดยจะทำให้สิวอักเสบหายไวขึ้น และยังลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิวอักเสบได้อีกครับ